วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

(I'm not a Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก เปิดฉาก


                        เปิดฉาก

"อยู่บ้านท่านต้องขยันนะลูก พอกลับจากมหาฯลัยต้องช่วยงานแม่"

"ครับ ขอบพระคุณครับท่าน"

ภูมิ บุญก้มลงกับพื้นกราบหญิงสูงวัยตรงหน้าอย่างนอบน้อม

"อืม มารยาทดีเหมือนเธอเลยนะจันทร์ ไหนจะเรียนต่อที่ไหนนะ"

น้ำเสียงที่ แสดงความเมตตาปราณี ก้องอยู่บนโซฟาที่นั่ง ภูมิบุญเพิ่งจบชั้นมัธยมปลายจากจังหวัดเพชรบูรณ์มาอยู่กับแม่ชื่อจันทร์ที่ ทำงานบ้านให้คุณอภิสราม่ายสาวใหญ่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เกี๋ยวกับรีสอร์ททั้งเหนือทั้งใต้ ภูมิบุญอยู่กับยายที่เพชรบูรณ์ แต่ยายเสียแล้วเมื่อสิ้นปีที่แล้ว จึงต้องมาอยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯ แม่จันทร์กับภูมิบุญไม่ค่อยสนิทกันมากนักเพราะทิ้งไว้ให้ยายเป็นคนเลี้ยงดู ตั้งแต่เด็ก แม่จันทร์เป็นคนหาเงินคอยจุนเจือให้ภูมิบุญได้เรียนจนจบ เรื่องนี้ภูมิบุญตระหนักแก่ใจดีและไม่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่แม่ไม่ได้อยู่ ด้วย

"เรียนรัฐศาสตร์ ครับ"

ภูมิบุญบอกคณะที่เรียนและชื่อ มหาวิทยาลัยฯชื่อดังไป เขาสอบเข้าได้ด้วยสติปัญญาของเขาเอง สร้างความภาคภูมิใจให้จันทร์เป็นอย่างมาก

"อืม เก่งนี่เรา คงภูมิใจสินะจันทร์ที่มีลูกเก่งๆอย่างตาภูมิ ลูกป้าก็เรียนอยู่อมเริกา คงจบเร็วๆนี้ล่ะเห็นโทรมาบอกว่าให้ป้าบินไปเดือนหน้านี่ พอจบจะได้มาทำงานช่วยป้าเสียที ป้าจะได้มาอยู่บ้านพักผ่อนบ้าง"

"ใช่สินะคะ คุณโตโต้ของจันทร์จะกลับมาบ้านเสียที นี่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว"

จันทร์ดีใจออกมาทั้งท่าทางและน้ำเสียง

"อ้อ ลูกชายป้าเองล่ะภูมิ ชื่อโตโต้ ป้าส่งไปเรียน เมกาตั้งแต่จบ ม ปลายเหมือนเรานี่ล่ะ นี่ก็หกปีแล้ว ป้าเคยบินไปเยี่ยมบ่อยๆ แต่พักหลังไม่ได้ไปแล้ว ได้แต่รอนี่ล่ะ"

ภูมิบุญได้แต่พยักหน้าไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับเรื่องราวที่คุณอภิสราได้ พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ พอคุยกันเสร็จภูมิบุญก็เดินกลับมาที่บ้านพักของตัวเองที่อยู่หลังตึกใหญ่ ภูมิบุญได้รับความเมตตาปราณีให้อยู่ห้องส่วนตัวถัดจากห้องของจันทร์ ที่ตึกใหญ่มีลุงหมายคนขับรถกับอ้อยแม่บ้านอีกคน ซึ่งอยู่ห้องถัดกันไป ภูมิบุญจัดข้าวของให้เข้าที่แล้วก็ไปอาบน้ำ

"แม่ พรุ่งนี้ภูมิว่าจะไปซื้อของใช้นะครับ มีรถสายไหนผ่านตรงนี้บ้าง"

ภูมิ บุญออกมานั่งคุยกับมารดาที่กำลังนั่งควบคุมอ้อยรีดผ้าให้คุณอภิสราอยู่

"ต้อง นั่งสองแถวออกไปน่ะลูก ถึงห้างเลย แล้วจะไปซื้ออะไรล่ะ"

"ก็เสื้อผ้า สักชุดสองชุดน่ะครับ ผมมีแต่เสื้อเก่าๆ"

"น้องภูมิ ไปที่ซีคอนฯซิคะ เมื่อวันก่อนพี่ไปกับลุงหมายเขากำลังลดราคาอยู่"

"เหรอครับ ไปยังไงครับพี่อ้อย"

"ก็นั่งเดินออกไปหน้าปากซอยนะคะ แล้วข้ามฝั่งไปนั่งรถสองแถวต่อถึงหน้าห้างเลย"

"จะดีเหรออ้อย ภูมิเขาไม่เคยเข้ากรุงเทพฯมาก่อนเดี๋ยวหลงทาง"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ แม่ เดี๋ยวภูมิถามเขาเอา เพราะถ้าเปิดเทอม ภูมิก็ต้องไปมหาฯลัยเองอยู่ดี จะได้คุ้นๆทาง"

จันทร์ได้แต่พยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปกับลูกชาย

"จะ ว่าไป น้องภูมินี่ก็น่าตาดีนะคะ พี่จันทร์สวย ดูซิน้องภูมิก็เชื้อไม่ทิ้งแถว"

อ้อยชมแล้วยิ้มอย่างพอใจ ส่วนภูมิได้แต่ยิ้มแห้งๆ ภูมิตัวสูงราว ๑๗๕ ผิวสีน้ำผึ้งซีดๆ ใบหน้าผุดผาดตากลมรีๆจะตาหยีก็ไม่เชิง เพราะม่านตาดำใหญ่ทำให้ดวงหน้าเด่นขึ้นมา คิ้วก็ดกดำรับกับจมูกที่เป็นสันเล็กๆ จันทร์เป็นคนสวย สามีที่จากไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งของหมู่บ้าน คงไม่แปลกที่ภูมิบุญจะหน้าตาไปในแนวทางนั้น พอคุยกับแม่และพี่อ้อยเสร็จภูมิบุญก็ขอตัวกลับเข้าห้อง นอนอย่างเหนื่อยล้า สายตามองออกไปยังเงาของตึกใหญ่ที่พาดผ่านทับห้องของเขา นี่เราเป็นผู้อาศัยไปแล้วสินะ ต้องพยายามทำให้ท่านไม่ผิดใจ เรื่องงานหนักไม่ได้เกี่ยง เพราะดูท่าทางท่านคงมีเมตตาอยู่บ้าง คงต้องปรับตัวสักหน่อยคงจะเข้าท่าเข้าทาง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ภูมิบุญก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

พอตื่นเช้าก็เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว ภูมิบุญชินกับการตื่นแต่เช้า พอเสร็จจากห้องน้ำก็เดินเข้าไปในครัว

"สวัสดีครับพี่อ้อย ทำอะไรอยู่ครับ"

ภูมิบุญทักทาย

"อุ๊ย น้องภูมิ ตื่นเช้าจังค่ะ พี่กำลังทำข้าวต้มให้คุณท่านอยู่ น้องภูมิหิวไหมคะ"

อ้อย ยิ้มตอบแล้วหันไปสาละวนกับหม้อข้าวต้ม

"ยังครับ แม่ล่ะครับพี่อ้อย"

สาย ตามมองหาแม่ แล้วเดินไปเปิดขวดน้ำเทใส่แก้วยกขึ้นดื่ม

"อ้อ พี่จันทร์อยู่ในสวนน่ะคะ คงตัดดอกไม้ไปใส่แจกันอยู่"

"อ้อ ครับ งั้นผมขอตัวไปดูแม่หน่อยนะครับ"

ภูมิบุญผละออกมาจากครัวแล้วเดินอ้อม ตึกไปทางฝั่งขวา บ้านหลังนี้กินเนื้อที่กว่าสามไร่ ฝั่งซ้ายของตึกมีต้นไม้ยืนต้นขึ้นอยู่สองสามต้น ด้านหลังเป็นห้องครัวกับที่พักของคนงาน ด้านขวาเป็นสวนเล็กๆ มีสระว่ายน้ำขนาบข้าง ตัวตึกตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้าน ภูมิบุญเดินไปตามทางเดินเล็กๆจนเห็นแม่ของตัวเองก้มๆเงยๆอยู่กับกอกุหลาบ

"แม่ ให้ภูมิช่วยอะไรไหม"

"อ้าว ตื่นแล้วเหรอลูก อืม งั้นช่วยแม่กวาดเศษใบไม้หน่อยนะลูก เอาใบมันมาใส่โคนต้นไม้"

จันทร์ ชี้ไปที่ไม้กวาดทางมะพร้าวที่วางเตรียมพร้อมแล้ว ภูมิบุญไปหยิบไม้กวาดมากวาดเศษใบไม้อย่างทะมัดทะแมง พอกวาดใบไม้เสร็จภูมิบุญก็อาสารดน้ำต้นไม้ให้ จนตะวันขึ้นโด่งแล้ว พอเสร็จก็ไปอาบน้ำกินข้าว

"เออ ภูมิเดี๋ยวขึ้นตึกใหญ่กับพี่ไหม ไปทำความสะอาดห้องคุณโตโต้"

อ้อยชวนตอนกินข้าวเสร็จ ภูมิบุญพยักหน้า

"ก็ ดีนะลูกจะได้ไปช่วยพี่อ้อยเขาทำ วันหลังจะได้ช่วยกันได้"

จันทร์เสริม แล้วยกถ้วยชามไปยังอ่าง ภูมิบุญเดินตามอ้อยขึ้นไปบนตึกใหญ่ บ้านหลังใหญ่โตเครื่องใช้ของประดับบ้านทุกอย่างล้วนหาค่าไม่ได้ ภูมิบุญเดินอย่างระมัดระวังที่สุดเพราะกลัวจะไปถูกอะไรหล่นลงแตกเสียหาย

"ห้อง นี้ล่ะจ๊ะภูมิ"

พี่อ้อยเปิดประตูไม้สักบานใหญ่ที่สลักลายตรงบานประตู วิจิตรงดงาม พอเปิดห้องเข้าไปภูมิบุญก็ยืนนิ่งอยู่เพราะห้องนี้กว้างเหลือเกิน เครื่องเรือนเป็นสีดำหรือทึมๆเป็นส่วนใหญ่ ดำแม้กระทั่งผ้าห่ม ผ้าม่าน

"เป็น ไง แปลกใจล่ะสิ พี่เรียกห้องดำ เพราะคุณโตโต้ ชอบสีดำ"

"น่ากลัวนะ พี่ ดำทั้งห้องเลยอ่ะ"

"คุณโตโต้แกไม่ค่อยพูด แต่เอาเรื่องเหมือนกันนะ แกไม่ค่อยยอมใคร เพราะคุณท่านตามใจมาแต่เด็ก"

ไม่ รู้ว่าอ้อยตั้งใจพูดให้ภูมิบุญกลัวหรือระวังตัวไว้ แต่ในใจภูมิบุญก็ไม่ขอยุ่งดีกว่า เพราะเป็นแค่คนอาศัยไม่อยากขึ้นมาวุ่นวายมาก เห็นรูปที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียง ใบหน้าของเด็กชายในชุดนักเรียนดูแจ่มใจแม้หน้าไม่ยิ้ม เขาหน้าตาเกลี้ยงๆ คิ้วดก น่าพิศมัยไม่น้อย

"นั่นล่ะภูมิคุณโตโต้ แต่แกก็ไม่ดุหรอกนะ ไม่อวดตัว เพื่อนก็มีไม่มาก ไม่ต้องกลัวไปหรอก"

"อ่ะ ผมไม่ได้กลัวหรอกครับพี่ ไม่รู้จะกลัวไปทำไม ผมไม่ยุ่งดีกว่า"

"ดี แล้ว อย่าไปยุ่งกับแกเลย แต่พี่ว่าภูมิน่ะระวังไว้หน่อยก็ดี เราไม่ยุ่งแต่เขาอาจจะยุ่งกับเราก็ได้นะ"

พูดให้ภูมิบุญคิด แต่ก็ไม่ได้เอามาใส่ใจมากนักเดินปัดนั่นกวาดนี่อยู่จนเสร็จก็ขอตัวลงมาอาบน้ำเพื่อจะออกไปซื้อของใช้ส่วนตัว
ภูมิบุญออก จาบ้านตอนบ่ายเดินออกมาจากหน้าปากซอยเพื่อที่จะโดยสารรถสองแถวประจำทางจาก หน้าหมู่บ้านเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้าที่ตั้งใจไว้ ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเบียดเสียดกันเข้าไปในซีคอนสแคว์ บ้างมีจุดหมายเพื่อซื้อของตามที่ตนตั้งใจไว้ บ้างเพื่อหลบอากาศอันร้อนอบอ้าวจากภายนอก บ้านของคุณอภิสราอยู่ในซอยสวนหลวงเดินไปนิดเดียวก็ถึงสวนหลวง ภูมิบุญเดินข้ามสะพานลอยเข้าไปในตัวห้าง เดินดูนั่นดูนี่อยู่สักพักได้ของใช้ติดมือมาสองสามอย่าง ส่วนเสื้อผ้ากับเครื่องแต่งตัวก็ได้มาสองชุด ภูมินั่งรถกลับบ้านทางเดิม เพราะตอนมาสังเกตทางมาโดยตลอดกลัวว่าจะหลงเช่นกัน บนรถสองแถวภูมิบุญมองนั่นมองนี่ไปตามทาง มีสายตาอยู่คู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเขา ภูมิบุญรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไรพยายามทำตัวให้นิ่งเฉยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขารู้สึกตัวแล้ว พอถึงที่ภูมิบุญก็รีบกดกริ่งรถสองแถวทันที พอรถสองแถวจอดสนิทภูมิบุญก็รีบลงแล้วล้วงเหรียญให้คนขับรถ พยายามเดินให้เร็วเข้าซอย แต่เขาเองก็ลงที่เดียวกับภูมิบุญเช่นกัน หัวใจเริ่มเต้นแรงเกรงว่าจะเจอมิจฉาชีพเข้าแล้ว จากเดินเร็วปกติจนกลายเป็นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน

เดี๋ยว นายน่ะ เดี๋ยวก่อน

เสียงร้อง เรียกตามหลังมา ยิ่งทำให้ภูมิบุญวิ่งจ้ำอ้าวทันที

เฮ้ย เดี๋ยวสิ

เสียงเขา วิ่งตามหลังมา พอรู้สึกตัวอีกทีก็โดนกระชากมือไว้แล้ว

เฮ้ย ปล่อยนะ ทำอะไรน่ะ

ภูมิบุญตวาดเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริก

เปล่า เราแค่อยากถามนาย ว่านายอยู่ในซอยนี้เหมือนกันเหรอ เราเองก็อยู่ในซอยนี้

เสียงเขานุ่มลง ภูมิบุญค่อยๆหันมามองเจ้าของเสียง ชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ข้างหน้ารูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณสะอาดหมดจดประการหนึ่งที่ทำให้ภูมิบุญค่อยโล่งใจ เขายิ้มให้เห็นไรฟันสะอาดเรียงกันเป็นระเบียบ

เอ่อ ใช่ เราเพิ่งย้ายมาอยู่

อ้อ เราเองก็อยู่ในซอยนี้เหมือนกัน ไหนบ้านหลังไหนบ้านนาย

เขาซักเดิน เข้ามาใกล้ มือยังไม่ปล่อยออกจากแขนภูมิบุญ

เอ่อ ไม่ใช่บ้านเราหรอก บ้านเจ้านายเรามาอาศัยเขาอยู่ มาเป็นลูกจ้างเขาน่ะ

ภูมิบุญตอบออกไปแล้วบิดข้อมือ เขาปล่อยมือทันที

อ้อ โทษที บ้านเราหลังเกือบสุดท้ายประตูสูงๆน่ะ

เขาบอกแล้ว เดินตามหลังภูมิบุญมา ไม่มีเสียงตอบจากภูมิบุญเพราะในใจที่โล่งจากที่ชายคนนี้ไม่ใช่มิจฉาชีพแล้ว แต่กลับนึกรำคาญอยู่เพราะเขาซักไซ้เรื่องบ้าน

เออ เราชื่อ แทนนะ นายล่ะ

ภูมิบุญหยุดกึกลงแล้วหันหน้ามองแทนทวี

ผมชื่อ ภูมิ

 เสียงห้วนเสียเหลือเกิน พอพูดบอกชื่อตัวเองเสร็จก็หันกลับรีบเดินต่อ

 “ยินดีที่ ได้รู้จักนะภูมิ แล้วนี่ไปไหนมา เราไปที่มหาฯลัยมา เตรียมรับน้อง

 “ไปซื้อของมา นายเรียนมหาฯลัยแล้วเหรอ

 ความจริงไม่ได้อยากจะเสวนาด้วย แต่พอได้ยินคำว่ามหาวิทยาลัยภูมิบุญก็หูผึ่งอยากรู้ทันที

 “ปีสาม แล้ว นายล่ะ หน้าอ่อนๆแบบนี้เรียนม ปลายอยู่อ่ะดิ

 เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่คนที่ได้ยินกลับหน้าบึ้ง

 “เรา เอ่อ ผมจบแล้ว กำลังจะขึ้นปีหนึ่ง

 “จริงดิ ที่ไหนอ่ะ

 เริ่มรู้สึกผิดที่บอกความจริงไปเพราะเขาท่าทางจะอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับภูมิบุญมากทีเดียว พอภูมิบุญบอกออกไป

เฮ้ย จริงดิ ที่เดียวกันเลย คณะไหน

 ไม่ได้รู้สึกยินดี แต่กลับรู้สึกว่าไม่น่าจะพูดออกไปเลย น่าจะบอกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดเสียดีกว่า ภูมิบุญตำหนิตัวเองอยู่ในใจ

รัฐศาสตร์

อ้าว เหรอ ว้า นึกว่าจะเรียน นิติฯ เสียอีกนะ จะได้เรียนคณะเดียวกัน

ถึงบ้าน แล้ว ผมไปก่อนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก

ภูมิบุญตัดบทรีบหันหลังให้เขาทันที

เดี๋ยว ภูมิ พรุ่งนี้ว่างไหม

เขาร้องเรียกตามหลังภูมิบุญที่กำลังจะก้าวเข้าประตูเล็ก

ทำไมครับ

จะพาไปมหาฯลัยไง พรุ่งนี้เขามีเตรียมรับน้อง ไปให้รุ่นพี่รู้จักก่อนจะได้สะดวก

รุ่นพี่ นิติฯ ไม่ใช่เหรอครับ เกี่ยวอะไรกับรัฐศาสตร์ ผมไม่ว่างครับ ขอบคุณ

ภูมิบุญบอกปฏิเสธไปแล้วเดินเข้าบ้านปิดประตูทันที แทนทวียืนเม้มปากอยู่

ถูกใจว่ะ ภูมิ ดูหยิ่งๆแบบนี้โดนสุดๆ

เขายิ้มให้กับคำพูดตัวเองแล้วเดินไปยังบ้านหลังใหญ่รั้วสูงเกือบสุดซอย แทนทวีเป็นลูกชายของนายแพทย์ แทนชัย กับแพทย์หญิง ศิริกานต์ มีพี่สาวคนหนึ่งที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่อเมริกา แทนทวีนับเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีฐานะดีอยู่ในวงสังคมชั้นสูง  แต่วันนี้เขาไปมหาฯลัยโดยที่เพื่อนสนิทมารับ แต่พอขากลับเขาแวะลงที่ซีคอนฯ เพื่อเดินดูนั่นดูนี่ ระหว่างที่เดินเลือกของอยู่นั้น แลเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวธรรมดาแต่หน้าตาผุดผาดผิวเนียนใสละเอียดต้องตาเขายิ่งนัก ที่นั่งรถสองแถวเพราะอยากลองตามดูว่าเด็กคนนี้จะพักอยู่แถวไหน เหมือนพรหมลิขิตเพราะภูมิบุญอยู่ซอยเดียวกับเขา แทนทวียิ้มร่าเริงกลับบ้านไปอย่างอารมณ์ดี

วันนี้ทำ อะไรกินครับแม่

ภูมิบุญถามมารดาที่กำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าวมีอ้อยเป็นคนช่วย

แกงไตปลา กับทอดมันกุ้งจ๊ะ ภูมิหิวหรือยังลูก

ยังครับ ทำไมคุณท่านทานน้อยจังล่ะครับแม่

คุณท่านทานไม่เยอะหรอกจ๊ะภูมิ ท่านกินอยู่แบบพอเพียง กินไม่กี่อย่าง แต่ถ้าคุณโตโต้กลับมาคงหลายอย่างอยู่เหมือนกัน

อ้อยตอบแทน ภูมิบุญทำหน้าสงสัย

ทำไมล่ะ ครับ

ก็ คุณโตโต้ ชอบกินอาหารหลายๆอย่างจ๊ะ ไม่ค่อยชอบอย่างสองอย่าง ตอนเรียนอยู่ที่นี่ก็ต้องจัดให้เธอสามอย่างขึ้นไป ไม่งั้นไม่แตะเลย

ภูมิบุญได้ แต่พยักหน้าแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อมารดาเป็นคนอยู่แบบพอเพียง แล้วทำไมลุกชายจึงจะแปลกแตกต่างออกไป แต่ภูมิบุญก็ไม่คิดอะไรต่อ ช่วยอ้อยยกสำรับอาหารขึ้นไปตึกใหญ่

กินข้าว หรือยังภูมิ มาๆ มากินกับป้า

คุณอภิสราถามถูมิบุญที่ยืนอยู่ข้างๆอ้อย

อุ้ย อย่าเลยค่ะคุณท่าน จันทร์จัดไว้ให้ภูมิแล้วค่ะ

อะไรกัน จันทร์ ฉันไม่ถือหรอกนะ กินข้าวคนเดียวมันเหงา นี่กว่าตาโตโต้จะกลับมา ฉันเหงามานานแล้ว เห็นภูมินี่ก็เอ็นดูนับเป็นลูกเป็นหลาน มาๆภูมินั่งลงกินกับป้านี่ล่ะ

คุณอภิสรากวักมือเรียก ภูมิบุญทำหน้าเหรอหราทำตัวไม่ถูก มองหน้ามารดาของตน

เอ่อ คุณท่านทานก่อนเถอะครับ ผมยังไม่หิว

เสียงปฏิเสธที่เบาจนไร้น้ำหนัก คุณอภิสราส่ายหน้า

นะภูมิ เห็นแก่ป้าละกันมากินข้าวเป็นเพื่อนป้าหน่อย ป้าไม่ได้คิดว่าเราเป็นลุกคนใช้นะ จันทร์เองก็เหมือนกัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอเป็นคนใช้ ฉันเห็นเธอเป็นคนที่ฉันไว้วางใจ เป็นเหมือนเพื่อนเก่าแก่ที่รู้ใจ อะไรกันจะมาคิดเล็กคิดน้อย เราก็คนเหมือนๆกัน

คุณอภิสราตัดพ้อ จันทร์ได้แต่ก้มหน้านิ่งแล้วหันไปพยักหน้าให้ภูมิบุญ รายนั้นค่อยเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ถัดมาจากคุณอภิสรา

เห็นไหม ก็แค่นั้น ฉันไม่ได้ถือตัวอะไรหรอกนะ อย่าคิดว่าฉันเป็นเจ้าของบ้านแล้วจะปฏิบัติกับพวกเธอเหมือนทาสรับใช้ ฉันจ้างพวกเธอก็จริง แต่ถ้าไม่มีพวกเธออยู่ทำงานให้ บ้านช่องกับข้าวกับปลามันก็ไม่มีคนทำคนดูแล ถึงแม้จะจ้างใครก็ได้มาทำให้ แต่ความไว้วางใจมันก็ไม่เหมือนกัน เอาล่ะอย่าคิดมาก กินข้าวเถอะภูมิป้าหิวแล้ว

เสียงที่อ่อนนุ่มแม้จะเอ็ดแต่ก็เหมือนพร่ำสอนเสียมากกว่า สร้างความตื้นตันเข้าไปในใจของอ้อยและจันทร์เป็นอย่างมาก เพราะคุณอภิสราเป็นแบบนี้ ทั้งสองจึงไม่อยากที่จะหนีไปไหนเลย มีนายจ้างเป็นเหมือนแม่พระที่คอยคุ้มครองให้ความอุ่นใจ หน้าที่การงานจึงเป็นการทำแบบถวายหัว ภูมินั่งตัวเกร็งทานข้าวกับคุณอภิสรา แม้จันทร์กับอ้อยจะออกไปจากห้องแล้วไม่มีคนคอยจ้องมอง แต่มันก็ยิ่งกดดันมากขึ้น คุณอภิสราคอยถามนั่นถามนี่ระหว่างกินข้าว ภูมิบุญก็ตอบพอเริ่มชินก็ไม่เกร็ง พอทานข้าวเสร็จก็เก็บกวาดโต๊ะ จันทร์ยกเงาะลอยแก้วมาให้คุณอภิสรา ส่วนภูมิก็ขอตัวกลับห้องของตน

ฉันปลื้มใจแทนเธอจังจันทร์ ลูกชายเธอมีมารยาท กริยาก็งาม คุณยายคงสอนมาดีนะ

คุณอภิสราพูดขึ้นระหว่างที่ตักเงาะลอยแก้วขึ้นชิม

ค่ะ นับเป็นบุญของจันทร์ค่ะ ตัวไม่ได้เลี้ยงคอยแต่ส่งเงินไปให้ แม่เองก็คงลำบากอยู่ไม่น้อยที่เลี้ยงตาภูมิมา

จะดีไม่ดี มันอยู่กับตัวเด็กเองนั่นล่ะจันทร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงหรอก คนเลี้ยงดูเป็นเหมือนกรอบที่คอยให้เด็กอยู่ในโอวาท ถ้าเด็กมันรักดีอยู่ในกรอบก็ดีไป แต่สมัยนี้เด็กมันเลี้ยงยากนะฉันว่า ตาโตโต้เองจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ห่างอกไปตั้งห้าหกปี เธอน่ะโชคดีแล้ว ฉันล่ะเอ็นดูตาภูมิจริงๆนะถูกชะตามาก

จันทร์ยกมือขึ้นไหว้คุณอภิสรา

ขอบคุณคุณ ท่านแทนตาภูมิด้วยค่ะที่ท่านเมตตา

เอาเถอะ อย่าคิดอะไรมาก แล้วนี่เมื่อไหร่ตาภูมิจะเปิดเทอมล่ะ ฉันรู้สึกเหมือนมีลูกอยู่ใกล้ๆเสียจริง พลอยให้นึกถึงตาโตโต้สมัยที่เรียนอยู่ที่นี่

เห็นภูมิ บอกว่าเปิดอาทิตย์หน้านี่ล่ะค่ะ แต่เดี๋ยวคุณโตโต้ก็กลับแล้วนี่คะคุณท่าน จันทร์ล่ะคิดถึงคุณโตโต้เหลือเกิน

สีหน้าแววตาจันทร์รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

อืม เธอนี่ก็นับมีบุญคุณกับฉันนะจันทร์ ลูกตัวไม่ได้เลี้ยง แต่เลี้ยงตาโตโต้จนโต

จันทร์ก้มหน้านิ่งสะท้อนเข้าไปถึงในใจ

ตายล่ะ ขอโทษทีจันทร์ ฉันไม่ได้ตั้งใจ นี่ล่ะนะพอแก่แล้วก็ปากไวไป อย่าคิดมากนะ

อ้อ ไม่หรอกค่ะคุณท่าน จันทร์เองก็เลี้ยงคุณโตโต้เหมือนลูกเหมือนหลาน ส่วนภูมิเองก็คงไม่ได้น้อยใจอะไรหรอกค่ะ

เสียงของจันทร์อ่อนลง

ภูมิบุญนอนมองเพดานห้องสายตาจับจ้องอยู่กับสีตุ่นๆครีมหม่นๆของเพดาน พัดลมติดเพดานที่หมุนติ้วๆอยู่ส่งกระแสลมเย็นออกมาคลายความร้อนระอุในห้อง ได้ไม่มากนัก เพราะภูมิบุญเปิดพัดลมอีกตัวที่ปลายเตียง จิตใจคิดไปไกลถึงการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของตน จะมีเพื่อนใหม่ไหมนะ คงจะเรียนยากกว่าการเรียนชั้นมัธยมปลายหลายเท่านัก เราโตแล้วนะภูมิ เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อจากนี้ภาระความรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆมันต้องมีมากขึ้น ภูมิบอกกับตัวเองแล้วหลับตาลงนอนอย่างยากลำบากเพราะอุณหภูมิภายในห้องที่อบ อ้าว แต่ด้วยความเหนื่อยล้าภูมิจึงหลับไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น