"ก่อนอื่นผมต้องขอชี้แจงในการเทรนของบริษัทของเราในครั้งนี้ก่อนนะครับ ทางเราทราบดีว่าพนักงานทุกท่านมีศักยภาพดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างเรายังต้องการที่จะพัฒนาเพื่อให้ศักยภาพของพนักงานทุกคนดีขึ้นอีก หัวข้อในการเทรนวันนี้คือการทำงานด้วยทัศนคติที่ดี แอทติจูดหรือทัศนคติคืออะไร มันคือความรู้สึก ความคิดของเราต่อสิ่งที่ทำ หรือสิ่งที่เห็น"
ภูมิบุญออกไปยืนด้านหน้าห้องประชุมที่จุผู้เข้าร่วมประชุมได้ประมาณห้าสิบคน เขาประกาศก้องน้ำเสียงชัดเจนไม่สั่นไหว ภูมิบุญโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก โตโต้เองก็คอยนั่งมองดูอยู่
"วันนี้ผมเชิญอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิ ท่านได้ให้การอบรมแก่องค์กรใหญ่ๆมาหลายองค์กรแล้ว วันนี้เราได้รับเกียรติจากท่าน หวังว่าเพื่อนๆพนักงานทุกคนคงได้รับความรู้ใหม่ๆเพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานของตนให้ดียิ่งขึ้นเพื่อตัวของเพื่อนพนักงานเองและเพื่อบริษัทของเรา ขอบคุณครับ"
เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้อง ภูมิบุญเดินกลับมาที่นั่ง
"ฝากด้วยนะครับอาจารย์"
"ยินดีครับ"
อาจารย์ผู้ชายวัยกลางคนแต่งตัวตามสมัยนิยม ท่าทางกระเบียดออกไปผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชาย ตัวภูมิบุญเองแม้จะรู้ตัวว่าเป็นเกย์แต่ไม่มีอาการของหญิงสาวปรากฏแม้แต่น้อย พออาจารย์แนะนำตัวก็เริ่มการบรรยาย โดยเน้นที่หัวข้อหลักคือทัศนคติที่ดีในการทำงาน อาจารย์แจกแผ่นพับให้ทุกคนเพื่อเป็นคู่มือในการอบรม
"ถ้าเรามีแอทติจูดที่ดีในการทำงาน มันส่งผลในหลายๆด้านด้วยกันนะครับ ใครรู้บ้างว่าในบริษัทเราใครหรือตำแหน่งใดสำคัญที่สุด"
อาจารย์ถามขึ้นแล้วมองหาคนตอบ มีคนยกมือ
"เจ้าของกิจการครับ"
เสียงตอบมาจากแผนกช่าง
"ถูกต้องครับ แล้วมีใครอีกไหม"
"เมเนจเมนต์ค่ะ"
"บัญชีค่ะ"
พอมีคนตอบเสียงอื่นๆก็เริ่มตามมา
"ครับ ในแต่ละองค์กรไม่ว่าจะน้อยใหญ่ คนที่สำคัญที่สุด คนแรกคือลูกค้า สองเจ้าของกิจการ สามพนักงานทุกคน สี่สังคมที่บริษัทเราตั้งอยู่ ทำไมน่ะเหรอครับ ลูกค้าถือว่าเป็นคนสำคัญเพราะคนที่จ้างงานเราแม้จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่รายได้ที่เจ้าของกิจการได้จากลูกค้าก็มาแปรเป็นเงินเดือนให้พนักงาน ถ้าเจ้าของกิจการไม่มีลูกค้า บริษัทจะไปรอดไหมครับ ก็ไม่ เพราะฉะนั้นเราจึงถือว่าคนที่จ้างเราจริงๆ นั่นก็คือลูกค้า หรือคนที่เอารายได้เข้ามาให้บริษัทของเรา"
อาจารย์หยุดแล้วรอให้ทุกคนตอบมีส่วนร่วมในการอบรม
"เจ้าของกิจการก็สำคัญเพราะถ้าไม่มีเจ้าของกิจการ แน่นอนครับย่อมไม่มีบริษัท ส่วนพนักงานทุกคนไม่ว่าตำแหน่งอะไรหรือใครในบริษัทก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ทำไมน่ะเหรอครับ อย่างคนเดินเอกสารในบริษัท เขาสำคัญไหม ถ้าไม่มีคนเดินเอกสาร ใครครับที่ต้องเป็นคนทำ ก็เราเองนั่นไงครับไหนจะต้องทำงานของตัวเอง ไหนจะต้องวิ่งเอกสาร อาจารย์คิดว่า วันนั้นเราคงทำงานได้ไม่ดีหรอกครับ อย่างแม่บ้านทำความสะอาด เวลาเราเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่มีแม่บ้านทำความสะอาด ห้องน้ำน่าเข้าไหมครับ บริษัทหรูหราแต่ไม่มีแม่บ้านทำความสะอาด บริษัทนั้นจะน่าทำงานไหม การทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไรเราต้องให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงานนะครับ อย่าเห็นว่าเขาเป็นแค่แม่บ้าน คนเดินเอกสาร จะไปจิกหัวด่าว่าเขาไม่ดีนะครับ เพราะอย่าลืมว่าคนที่ไปว่าเขา คุณก็คือพนักงานคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไปว่าเขา ว่าเป็นแค่แม่บ้านทำความสะอาด เพื่อนร่วมงานจะรู้สึกยังไงครับ แน่นอนเวลาไปไหนเขาก็จะรู้สึกไม่ภูมิใจ ไม่กล้าบอกใครว่าตนทำงานตำแหน่งอะไร เห็นไหม เราได้สร้างปมด้อยให้เพื่อนร่วมงานไปแล้ว โดยไม่รู้ตัว แทนที่เราจะยกย่องเขา เพราะถ้าไม่มีเขา เราก็จะไม่มีที่สะอาดๆทำงานจริงไหมครับ เราต้องทำให้ทุกตำแหน่งภูมิใจในหน้าที่การงานของเขา แล้วตัวเขาเองก็จะรู้สึกว่าเขามีค่า เป็นถึงแม่บ้านในบริษัท เอ พี ที กรุ๊ป ไม่ใช่ใครจะมาเป็นกันง่ายๆนะ เห็นไหมครับ แค่ทัศนคติที่มีต่อเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย เราสามารถเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนแนวการทำงานได้ ถ้าเรารู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าตำแหน่งอะไร งานนั้นๆรับประกันได้เลยครับว่างานออกมาดีแน่นอน"
อาจารย์บรรยายยืดยาว เน้นเสียงสูงต่ำออกลีลาท่าทาง พนักงานที่เข้าอบรมก็หัวเราะไปตามที่อาจารย์บรรยาย
"ตัวอย่างนะครับ อย่างเวลาเราไปกินก๋วยเตี๋ยวอาซิ่มข้างถนนจะกินต้องเดินไปสั่ง แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะราคาก็ไม่สูงมาก คืออาจารย์อยากจะเปรียบเทียบกันว่า ก๋วยเตี๋ยวชามนึง ๒๕ บาทข้างถนนกับบริการของเขา หรือเป็นการบริการตัวเองแค่นั้น กับร้านอาหารที่พอเราเดินเข้าไปพนักงานแทบจะมาอุ้มเรา กับการที่แค่จะเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินเหมือนกัน แต่ชามละร้อยกว่าบาท รสชาติก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะอะไรน่ะหรือครับ เพราะการบริการเป็นสำคัญ อย่างเวลาเราไปซื้ออะไรดีเอายาล่ะกัน ร้านแรกไปซื้อร้านอาเจ็ก อาเจ็กถามว่า จะเอายาอะไร กี่เม็ด พอบอกไปก็หยิบให้หน้าตาก็เหมือนเพิ่งทะเลาะกับเมียมา เราเสียอีกที่รู้สึกเกรงใจเขา จริงไหมครับ พอเข้าร้านที่สอง อาเจ็กเหมือนกัน แต่อาเจ็กถามว่าเป็นอะไรมาครับ เราบอกไม่สบายปวดท้อง อาเจ็กถามอาการ แล้วแนะนำว่าควรใช้ยานี้นะอาการแบบนี้ แนะนำวิธีการใช้ยา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถามทุกคนว่าเราจะรู้สึกพอใจที่จะไปซื้อยาที่ร้านไหนครับ"
อาจารย์ถาม ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
"เห็นไหมครับ แค่เราใส่ใจในสิ่งที่เรากำลังจะขาย หมายถึงงานของเราคือการทำรีสอร์ทเพื่อขายให้คนมาเข้าพักใช่ไหมครับ เหมือนกันครับ ถ้าหากว่าคุณฝ่ายประชาสัมพันธ์เวลาไปขายให้ลูกค้า พูดจาไม่ดีหรือไม่สนใจลูกค้า ไม่มีใครอยากซื้อหรอกครับ ถึงคุณจะบอกว่าพร็อพเพอร์ตี้ของคุณมันหกดาวเจ็ดดาวแต่ทำท่าเหมือนดาวครึ่ง ไปไม่รอดหรอกครับ เพราะฉะนั้นแอทติจูดมันสำคัญมาก ถ้าเรามีแอทติจุดที่ดี ภาพลักษณ์ของบริษัทก็ดี ที่สำคัญภาพลักษณ์ของตัวเราก็ดีตามไปด้วย"
การบรรยายใช้เวลาทั้งวันสำหรับกลุ่มแรก ภูมิบุญนั่งฟังอยู่ด้วยแค่ครึ่งวันแรกเพราะต้องไปทำงานต่อ ส่วนโตโต้ก็ออกมาพร้อมกัน
"เราว่าอาจารย์ตลกดีนะ ไม่เครียด"
พลอยบอกตอนเดินออกจากห้อง
"อืม ก็ได้พี่ไพลินล่ะแนะนำ"
"ดีนะเราว่า แต่ก่อนความคิดทัศนคติก็ไม่ค่อยดี พอฟังอาจารย์พูดแล้วมันก็จริงนะ"
"หวังว่าพนักงานของเราคงได้แง่คิดอะไรบ้างนะ"
ภูมิบุญคุยกับพลอยสักพักก็เดินเข้าห้องไปกับโตโต้
"ไปกินข้าวกันภูมิ จะเที่ยงแล้ว"
"ครับ เป็นไงบ้างครับคุณโตโต้ ใช้ได้ไหม"
"ดีนะพี่ว่า อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อบริษัท"
น้ำเสียงเรียบแต่ใบหน้ายิ้มแย้ม ภูมิบุญออกไปทานข้าวกับโตโต้ส่วนพลอยไม่ไปด้วยเพราะติดงานเตรียมเอกสารการประชุมอยู่
"แล้วเด็กคนนั้นเป็นไงภูมิ"
โตโต้ถามขึ้นเมื่อนั่งรออาหารที่สั่งไป
"ก็พาไปดูห้องแล้วครับ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็แล้วแต่น้องเขา"
"เหรอ ไม่เสียเงินเปล่านะ"
"ไม่รู้สิครับ มันเป็นสิ่งที่ผมทำได้นตอนนี้ ไม่รู้จะช่วยน้องเขายังไงเหมือนกัน"
"เรานี่ก็ขยันหาเรื่องมาใส่หัวนะ"
"ทำไงได้ครับ ผมไม่อยากเห็นอนาคตของเด็กตาดำๆคนหนึ่งต้องมาพังลงต่อหน้าต่อตา"
"คร้าบ ใจดีจริงๆนะเรา"
โตโต้ล้อออกมา ภูมิบุญไม่โต้ตอบยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
"งั้นเย็นนี้นัดน้องมันมาทานข้าวด้วยกันสิ"
โตโต้พูดขึ้น ภูมิบุญปรายตาขึ้นมองไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของคนพูด
"ครับ ผมจะลองชวนดู"
"พี่แค่อยากดูหน้าเขาหน่อยน่ะ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง"
เสียงตอบรับจากพนักงานใรการอบรมออกมาดีเกินคาด พนักงานหลายคนปรับเปลี่ยนความคิดหลังจากการอบรมเสร็จสิ้นลงในวันแรก ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันในเรื่องที่เพิ่งจะได้อบรมมา พอเลิกงานภูมิบุญก็นัดกับบาสให้มาเจอที่หน้าบริษัท พลอยเองต้องรีบกลับเพราะมีธุระกับทางบ้าน โดยมีกายมารับเช่นทุกวัน
"เป็นไงบ้างบาส เรียนเหนื่อยไหม"
พอเจอหน้าบาสภูมิบุญก็ทักทาย เขาอยู่ในชุดนักเรียนสะพายเป้ที่หลัง สีหน้าดูดีขึ้นกว่าวันก่อน
"ก็เรื่อยๆพี่ แล้วพี่จะพาผมไปไหน"
"ไปกินข้าวกันครับ"
ภูมิบุญบอกไปแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ
"แต่ไปกับพี่อีกคนนะครับ"
"ไม่ ผมไม่ไปกับคนอื่น"
เขาเสียงแข็งขึ้นมามองหน้าภูมิบุญที่สะดุ้งกับอาการของเขา
"ทำไมล่ะครับ"
"ถ้าพี่อยากไปกับผมก็ไปกับผมสิ ทำไมต้องชวนคนอื่นไปเยอะแยะ หรือจะให้มาดูคนไม่มีทางไปอย่างผมเหรอ"
"บาส"
ได้แต่ร้องออกมา ภูมิบุญถอนหายใจ
"งั้นพี่ไปเถอะครับ ผมจะกลับ"
"ได้ครับ เดี๋ยวพี่โทรไปบอกพี่เขาก่อน รอแป๊บนะครับ"
พอโทรศัพท์ไปบอกโตโต้รายนั้นก็โวยวายใหญ่ แต่ภูมิบุญก็อธิบายว่าบางทีบาสอาจะยังทำใจไม่ได้ ไม่อยากเจอใครมากหน้าหลายตา พอตกลงกันได้ก็พาบาสออกไปจากบริษัท
"ไปกินที่ซีคอนละกันนะ เผื่อเราอยากได้อะไรเพิ่มพี่จะได้ซื้อให้"
ไม่รู้ว่าที่พูดออกไปทำให้สายตาของอีกคนฉายแววขึ้นมา ภูมิบุญเรียกรถแท็กซี่หน้าบริษัทแล้วตรงไปยังที่หมาย เดินวนอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเข้ากร้านอาหารญี่ปุ่น
"ผมอยากได้โทรศัพท์"
อยู่ดีๆเขาก็โพล่งขึ้นมา ภูมิบุญมองหน้าเขา
"แล้วเครื่องที่ใช้อยู่ล่ะครับ"
"ผมจะขาย"
"อ้าว ทำไมล่ะบาส มันยังดีอยู่ไม่ใช่เหรอ"
"ก็ผมไม่มีเงินนี่พี่ ผมจะขายทุกอย่างล่ะที่มี"
ภูมิบุญเม้มปากสูดลมหายใจเข้าไปกักเก็บไว้ในปอด
"ก็พี่คอยดูแลเราอยู่นี่บาส อยากได้เงินก็บอกพี่สิ เราจะไปขายทำไม"
"ไม่รู้ล่ะพี่ ผมอยากได้โทรศัพท์ใหม่"
เขายังยืนกระต่ายขาเดียว ภูมิบุญเองก็ครุ่นคิดอยู่
"จะเอารุ่นไหนล่ะ"
"สี่จี"
"บาส"
ภูมิบุญร้องออกมา มองเขาอย่างไม่พอใจ
"พี่ไม่ซื้อให้เหรอ ไหนบอกจะดูแลผม แค่นี้พี่ก็ไม่รับผิดชอบผมแล้วเหรอ"
เขาคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พูดออกมายิ้มที่มุมปาก
"ฟังพี่นะบาส เพื่ออะไรครับ เราทำอะไรอยู่รู้ตัวไหม เราเรียนหนังสืออยู่นะ ความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องใช้โทรศัพท์แพงๆขนาดนั้น เราไม่ได้ติดต่อกับใคร หรือเป็นนักธุรกิจ พี่ซื้อให้ได้ไหม ได้ แต่เพื่ออะไร แล้วที่พี่ทำอยู่นี่พี่ไม่ดูแลเราเหรอครับ อย่ามาว่าพี่ไม่รับผิดชอบเรา พี่ไม่ได้ทำอะไรเรา แต่คนที่ทำคือแม่ของเราซึ่งท่านได้เสียไปแล้ว เอาเถอะกินข้าวก่อนส่วนเรื่องนั้นค่อยว่ากัน"
ภูมิบุญตัดบทเพราะเห็นเขากำลังอ้าปากจะพูดขึ้นมา พออาหารมาก็ก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจเขาอีก
"เพื่อนที่โรงเรียนใหม่เป็นไงบ้างบาส เข้ากับเพื่อนได้หรือยัง"
"ยัง"
"ทำไมล่ะ เราต้องรีบปรับตัวนะจะได้ไม่ลำบาก"
"จะให้มีเพื่อนได้ยังไง ในเมื่อผมไม่ได้ไปโรงเรียน"
"บาส"
ได้แต่ร้องออกมา มองหน้าเขาอีกครั้ง
"เรามีโอกาสดีกว่าคนอื่นเขานะบาส อย่าทำตัวแบบนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพี่รู้ว่าเราไม่ผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่เราก็อย่าหนีปัญหาแบบนี้สิบาส"
"พอเถอะพี่ ผมไม่อยากฟัง ตกลงจะซื้อให้ไหม โทรศัพท์อ่ะ"
"ไม่ครับ ของที่ห้องยังขาดอะไรอีกไหม"
ภูมิบุญตอบหน้าตาเฉย ทำท่าไม่สนใจเขาอีก
"พี่ ไหนบอกจะซื้อให้ผม ทำไมหลอกผม"
เขาขึ้นเสียงมองหน้าภูมิบุญอย่างไม่พอใจ
"พี่บอกเหรอว่าจะซื้อให้ ค่ำแล้วรีบกลับเถอะ เดี๋ยวพ่อเราเป็นห่วง เออเรื่องค่าใช้จ่าย พี่ลองคำนวณดูแล้วนะ น่าจะตกอาทิตย์ละห้าร้อย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์พี่ว่าจะหาอะไรให้เราทำ"
"ห้าร้อย เป็นบ้าเหรอพี่ เงินแค่นั้นจะเอาไปทำอะไรได้ ผมไม่เอาหรอก"
เขาร้องขึ้นมาทำหน้ารังเกียจในสิ่งที่ได้ยิน
"ตามนั้นครับ อยากได้เพิ่มก็พี่จะหาอะไรให้ทำไง กลับบ้านดีๆนะ"
หันหลังเดินหนีไปทันที เขายืนกัดฟันอยู่ ภูมิบุญรู้ดีว่าเขาอาจจะเป็นปัญหาใหม่ที่เข้ามารุมหัวใจให้คิดหนัก แต่ยังไงเสียมันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาแม้เขาจะเป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งในบริษัท แต่ด้วยพระคุณของคุณอภิสราต่อให้ทำมากกว่านี้เขาก็ยอม และแม้มันจะทำร้ายใครมากมายแค่ไหน เขาก็ได้แต่ยอมทำใจเท่านั้นเอง
"ทำไมพลอยกับภูมิต้องรับผิดชอบเขาด้วยล่ะ พี่ไม่เข้าใจจริงๆนะ"
กายถามขึ้นระหว่างขับรถไปส่งพลอยที่บ้าน
"แหมพี่ อย่างน้อยก็เด็กคนนึงนะคะ เขาอายุแค่นั้นต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้แล้ว หนูว่ามันอาจจะดูรุนแรงไปหน่อยนะ ช่วยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ"
"คร้าบ แม่พระ แล้วนี่จะตรงกลับบ้านเลยเหรอไม่แวะกินอะไรกับพี่ก่อนเหรอครับ"
กายเปลี่ยนเรื่องคุยหันมายิ้มให้พลอย
"ไม่ค่ะ แม่รออยู่ เห็นแม่บอกทำกับข้าวไว้รอ"
"จริงเหรอ ดีเลยงั้นพี่ขอกินข้าวด้วยคน"
"อ้าวนะ จะกินได้เหรอคะ กับข้าวบ้านๆอ่ะ ไม่ได้ไฮโซหรูหรานะพี่"
"ไม่รู้สิ ลองดูเผื่อติดใจ"
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลอยทำหน้าหมั่นไส้ขึ้นมา แต่น่าแปลกที่มารดาของพลอยกลับรักใคร่เอ็นดูกายเพราะรายนี้แม้จะไม่ได้ไปรับพลอยก็จะไปขลุกอยู่ที่บ้านคุยเล่นกับมารดาของพลอยประจำ เข้าทางผู้ใหญ่พลอยแขวะเอาประจำแต่กายก็ไม่ได้สนใจอะไร
"ภูมิ ทำไมวันนี้ไม่กลับมากับพี่เขาล่ะลูก ไปไหนมา"
พอเดินเข้าบ้าน นายใหญ่ซึ่งนั่งรออยู่หน้าบ้านอยู่แล้วก็ถามขึ้นภูมิบุญทำสีหน้าไม่ถูก
"พอดีพาน้องไปกินข้าวครับคุณท่าน"
"น้องไหน เรามีน้องด้วยเหรอ"
"เอ่อ ผมต้องกราบขอโทษคุณท่านด้วยนะครับที่ยังไม่ได้เรียนเรื่องนี้ คือว่า"
ภูมิบุญตัดสินใจเล่าให้คุณอภิสราฟังทุกอย่าง ที่ช่วยเหลือบาสเพราะคิดว่าไม่อยากให้เด็กเป็นเหมือนตัวเอง ไม่อยากเห็นปมด้อยซ้ำซ้อนที่ตัวเองเคยเจอมา คุณอภิสรานั่งฟังครุ่นคิดอยู่
"ภูมิ ฟังนะลูก ที่เราจิตใจดีเมตตาเด็กนั่นป้าไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ป้าเห็นว่ามันรังจะเอาปัญหาเข้ามาใส่ตัว ชีวิตคนเราน่ะลูกมันลำบากกันทุกคนล่ะ ป้ารู้ว่าภูมิทนเห็นเด็กมันสิ้นอนาคตไม่ได้ แต่ฟังจากที่เราพูด เด็กคนนี้ครอบครัวเขาเคยเลี้ยงด้วยวัตถุมาก่อน มันยากนะลูกที่จะทำให้เขาอยู่อย่างพอเพียงได้ แต่เอาเถอะตัดสินใจไปแล้วนี่นะ วันหลังพาเขามาหาป้าหน่อยนะ ไหนๆก็จะดูแลเขาแล้วนี่"
คุณอภิสราถอนหายใจออกมา ภูมิบุญเองรู้สึกผิดขึ้นมาก้มหน้าลงเพราะละอายที่จะมองหน้าผู้ซึ่งสายตาความคิดกว้างไกลกว่า
"เอาเถอะลูก อย่าคิดมากยังไงป้าก็ดีใจที่เราเป็นคนจิตใจดีทนเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากไม่ได้"
"ภูมิขอโทษนะครับคุณท่านที่ทำอะไรไปโดยไม่ได้ปรึกษา"
"แต่เราก็เล่าทุกอย่างให้ป้าฟังทุกเรื่องนี่ลูก ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ภูมิจะปดป้าเลยนี่ จริงไหม"
ภูมิบุญสะดุ้งกับคำพูดของคุณอภิสรา ชนักที่ปักหลังอยู่มันเหมือนจะทำพิษเข้าให้ ความเจ็บปวดแปลบขึ้นกลางใจ ภูมิบุญนิ่งเม้มปากหนัก
"มีอะไรไม่สบายใจเหรอลูก ทำหน้าไม่ดีเลย"
"เอ่อ ไม่มีอะไรครับคุณท่าน ภูมิคงเครียดไปหน่อย"
แก้ตัวไปแต่สีหน้ายังไม่สู้ดี ตอบโดยที่ไม่มองหน้าคนถาม
"มาหาป้าหน่อยสิภูมิ"
ภูมิบุญสะดุ้งอีกครั้งเพราะนั่งอยู่ข้างๆกันแต่คุณอภิสรากลับเรียกให้เข้าไปหา
"ป้าขอกอดเราหน่อย"
สายตาที่มองทำให้ภูมิบุญน้ำตาคลอออกมา บีบหัวใจเหลือเกิน สายตาที่ห่วงใยปรารถนาดีมาโดยตลอด สายตาที่เมตตาปรานีไม่เคยคิดร้ายกำลังฉายมา ภูมิบุญเม้มปากหนัก
"คุณท่าน"
พอคุณอภิสราโอบกอดภูมิบุญก็ถึงกับร้องไห้ออกมา หัวใจสะท้อน คนที่เขารักและห่วงใยเรามากขนาดนี้แต่เรากลับทำร้ายท่านแบบนี้หรือภูมิบุญ ถ้าท่านรู้เรื่องขึ้นมาทุกอย่างมันจะเป็นยังไง
"เป็นอะไรไปลูก ร้องไห้ทำไม"
"ภูมิขอโทษ ภูมิขอโทษนะครับคุณท่าน"
"หือ เรื่องอะไรกันลูก"
"ภูมิเป็นเด็กไม่ดี ภูมิ"
พูดไม่ออกเพราะไม่รู้จะเรียบเรียงหรือกล่าวอะไรขึ้นมาดี ภูมิบุญสะอื้นหนักสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจมันยากยิ่งนักที่จะพูดมันออกมาเป็นคำได้ ยิ่งสิ่งที่ทำไว้กับผู้มีพระคุณเช่นนั้นแล้ว ต่อให้ตายจากกันไปก็คงไม่พูดออกมา คำขอโทษแม้บางทีมันอาจจะทำให้ความผิดที่เราทำบุเลาเบาบางลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่บางทีสิ่งที่เราทำไว้กับเขามันก็ยากเกินกว่าคำว่าขอโทษมันจะลบล้างให้ได้ เคยไหมที่เราเคยทำผิดกับใครแล้วยังไม่ได้ขอโทษหรือขอให้เขายกโทษให้ ความผิดที่เราละอายแก่ใจแม้จะพูดออกมากับตัวเองเพียงลำพัง เรายังรู้สึกว่ามันน่าละอาย ความผิดเล้กน้อยหรือใหญ่หลวงที่มันสะสมเป็นสนิมอยู่ในใจ เป็นความจริงที่ตัวเราเพียงคนเดียวที่รู้แต่บอกใครไม่ได้ มันเหมือนเงาของปีศาจที่คอยหลอกหลอนให้เราผวาไม่ว่าคราใดที่นึกถึงมันขึ้นมา
"อะไรกันลูก ไม่เอาอย่าพูดแบบนี้"
คุณอภิสรากอดปลอบโยนอยู่ ระบายลมหายใจออกมารดหัวของภูมิบุญ
"หนักใจเรื่องเรากับตาโต้ใช่ไหมภูมิ"
คุณอภิสราพูดออกมาเสียงเรียบนิ่งที่สุด แต่มันเย็นยะเยือกเข้าไปบาดในใจเหมือนก้อนน้ำแข็งที่แหลมคม
"คุณท่าน"
ภูมิบุญผงะออกจากอ้อมกอด สีหน้าเหมือนคนที่เจอเงามืดในยามรัตติกาลวิ่งไล่ล่าอยู่แต่พอหันไปกลับไม่มีเจ้าของเงานั้น หน้าซีดอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง
"ป้ารู้มาตั้งนานแล้วล่ะลูก เรื่องเรากับตาโต้"
ภูมิบุญเม้มปากหนักน้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม สายตาเริ่มมองเห็นใบหน้าของผู้มีพระคุณไม่ถนัดเพราะม่านน้ำตามันบังตา ภูมิบุญจิตหลุดลอยไปไกลแสนไกล เสียใจหรือ ไม่ มันมากกว่านั้น ตกใจหรือ อาจจะใช่ แต่มันมาพร้อมกันทีเดียว รับไม่ไหว ตั้งรับไม่ทัน
"คุณท่าน ภูมิ"
พูดเริ่มไม่เป็นภาษาคน น้ำหูน้ำตาไหลออกมาเปรอะเปื้อน พลันภูมิบุญก็ล้มตัวลงกับพื้น ก้มลงกราบแทบเท้าของคุณอภิสรา
"ภูมิ ทำอะไรลูก ลุกขึ้นไม่เอาลูก ไม่เอาอย่าทำแบบนี้"
"ภูมิ เป็นคนเลว ภูมิเป็นคนไม่ดี คุณท่าน ภูมิกราบขอโทษคุณท่าน ภูมิ"
เสียงสะอื้นเหมือนคนกำลังขาดใจ คุณอภิสราเองก็พยายามดึงตัวภูมิบุญขึ้นมา โตโต้ที่มาถึงก่อนนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขกได้ยินเสียงก็ออกมาดู จันทร์กับอ้อยเองที่ทำกับข้าวอยู่ในครัวก็ออกมาดู
"ภูมิ อะไรกันลูก"
จันทร์ปรี่เข้ามาหา สีหน้าตื่นกลัว
"ไม่มีอะไร ขอชั้นคุยกับภูมิก่อน ไปทำงานของพวกเธอได้แล้ว"
น้ำเสียงที่เด็ดขาดเปล่งเสียงออกไป จันทร์กับอ้อยผงะหยุดกึกลง
"ตาโต้มานี่ก่อน"
เสียงเรียกของมารดาทำให้โตโต้หยุดกึกลงเช่นกันเริ่มเสียวสันหลังในสิ่งที่ตากำลังเห็น กับเสียงเรียกของมารดา
"ครับแม่"
"นั่งลง ภูมิลุกขึ้นได้แล้วลูก พอแล้ว ป้ารู้แล้วว่าเรารู้สึกผิด ป้ายังไม่ทันว่าอะไรเลยนะลูก"
พยายามจะดึงตัวของภูมิบุญให้ลุกขึ้นจากพื้น แต่ก็ไม่มีแรงกำลังเพราะภูมิบุญกอดเท้าไว้แน่นร้องไห้สะอื้นปิ่มใจจะขาดอยู่ คุณอภิสราหันมาพยักหน้าให้บุตรชาย โตโต้เองก็รู้งานมาประคองดึงตัวของภูมิบุญขึ้นมาจากพื้น ร่างกายของภูมิบุญอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง สายตาสิ้นไร้ซึ่งความหวังหรือพลังของชีวิต มีเพียงความหดหู่เจ็บปวดฉายออกมา
"เอาล่ะ ไหนๆแม่ก็พูดแล้ว ก็ขอให้แม่พูดมันออกมาเถอะนะ"
คุณอภิสราถอนหายใจออกมามองหน้าโตโต้กับภูมิบุญที่ประคองร่างกันอยู่
"แม่รู้ตั้งนานแล้วนะว่าเราสองคนมีอะไรลึกซึ้งกัน"
"แม่"
คราวนี้เป็นโตโต้ที่อุทานออกมา เพราะภูมิบุญเหมือนไม่มีแรงแล้ว
"ที่แม่ไม่พูด ไม่ใช่แม่คอยจะจับผิดหรืออะไรกับเราสองคน แต่แม่คอยดูท่าทีอยู่ แม่ไม่ได้รังเกียจหรือรู้สึกไม่ดีที่ลูกเองจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรือใคร แต่แม่เฝ้ามองว่าเราปฏิบัติต่อกันดีแล้วหรือยัง แต่ก่อนลูกเองอาจจะไม่ชอบน้อง แม้ตอนนี้เองจะชอบหรือยังแม่ก็ไม่แน่ใจ แต่ภูมิแม่ไม่เคยเสียใจนะที่เราเข้ามาในบ้าน ก็จริงอยู่ที่แม่มีลูกคนเดียว แต่ก่อนก็คิดว่าอยากมีลูกมีหลานสืบทอดวงศ์ตระกูล คนเป็นแม่ถามว่าตกใจไหม ตกใจ เสียใจเหมือนกัน แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว ชื่อเสียงเรียงนาม สกุลนี้เราเองที่อุปโลกมันขึ้นมา ฐานะเงินทองก็ด้วยพละกำลังของแม่ที่หามา พอแม่สิ้นลมหายใจไปแม่เอาอะไรติดตัวแม่ไปได้บ้าง ไม่มีเลยสักอย่าง แม่แค่อยากจะมีความสุขตอนบั้นปลาย เห็นเราสองคนที่แม่รักมีความสุขแค่นี้แม่ก็ตายตาหลับแล้วล่ะลูก"
"คุณท่าน"
ไม่รอให้คุณอภิสราพูดจบ ภูมิบุญก็ปล่อยเขื่อนน้ำตาให้แตกออกมาอีกครั้ง ครางออกไปเสียงเคล้าน้ำตาโตโต้เองก็นั่งน้ำตาซึมอยู่ มือก็จับบ่าของภูมิบุญไว้
"แม่ไม่ใช่คนหัวโบราณที่จะกีดกัน แม่รักและเอ็นดูภูมิเหมือนลูกแท้ๆ จะให้ทำร้ายเราน่ะหรือแม่ทำไม่ได้หรอก สิ่งที่เจอมาตั้งแต่เด็กจนเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ใช่ง่ายเลย จะให้แม่ห้ามน่ะหรือจะทำไปทำไมในเมื่อรู้ว่าใจของลูกมันอยู่ที่ไหน จริงไหมตาโต้"
คนที่โดนเรียกชื่อถึงกับสะอึก กระพริบตาถี่ๆไล่ม่านน้ำตาออกไป
"แต่น้องมันก็มีแฟนอยู่แล้ว อันนี้ล่ะที่แม่หนักใจ เพราะฉะนั้นตาโต้จะทำอะไรก็เกรงใจน้องมันด้วย เรามาทีหลังเราต้องพึงสังวรใจเอาไว้ด้วย"
"คุณท่านรู้ทุกอย่าง คุณท่าน"
สะอื้นออกมา คุณอภิสราดึงตัวไปกอดอีกครั้ง
"ใช่ แม่รู้ทุกอย่าง รู้มาโดยตลอด"
เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้นดาวฤกษ์จะสุกสว่างเพียงใดฤๅจะสู้แสงจันทรา ท่านว่าท่านรู้ย่อมมีผู้รู้กว่าท่าน คุณอภิสราสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งภูมิบุญและโตโต้เป็นอย่างมาก ภูมิบุญเองใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่จะหายสะอื้น ส่วนโตโต้ก็ได้แต่นิ่งฟังอยู่ อันความรักนั้นผู้ใดกำหนดหรือว่าต้องเป็นรักของหญิงกับชาย อันความรักนั้นแม้นหากเกิดขึ้นกับใครวรรณะใด สกุลใด เราล้วนแล้วแต่เรียกมันว่ารัก ไม่มีความผิดในความรัก แต่การที่ท่านไม่รู้จักรักนั่นต่างหากเป็นความผิด
"พี่แทน ภูมิยังไม่ได้ไปซื้อกล้องมาเลยอ่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ"
พอใจเริ่มโปร่งสบายหายจากสะอื้นก็มีเวลาส่วนตัว แม้ในใจจะยังคงหนักอึ้งกับเรื่องที่เพิ่งจะเจอมา แต่ก็อยากเจอคนที่รัก ได้คุยแค่คำสองคำก็คงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
"ไม่เป็นไรครับภูมิ พี่รอได้ แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง"
"อ้อ ไม่มีอะไรมากครับ เหนื่อยนิดหน่อย พี่แทนกินข้าวแล้วเหรอครับ"
ไม่รู้จะถามอะไรออกไปดี ความในใจที่ถูกบีบกดเอาไว้มันอยากจะระเบิดออกมา ทั้งที่อยากจะระบายความรู้สึกต่างๆออกมาให้คนรักฟัง แต่ก็ไม่มีอะไรจะเขียนไป พิมพ์ข้อความไว้เยอะแยะมากมายแต่ก็กดลบออก ทำอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน
"เราแปลกๆไปนะภูมิ มีอะไรหรือเปล่า"
"อ้อ ไม่มีหรอกครับ พี่แทน ภูมิคงเหนื่อย พี่แทนสบายดีไหมครับ"
"อืม พี่ก็ดีครับ คิดถึงภูมินะ"
"ครับ ภูมิก็คิดถึงพี่แทนครับ"
ภูมิบุญไม่สามารถจะรับสภาวะเบื้องหน้าได้อีกต่อไป ภาพเคลื่อนไหวของแทนทวียิ่งแทงบาดลึกลงไปในใจ เขาทำอะไรผิด ทำไมคนที่เข้ามาในชีวิตของเขาจะต้องเจ็บปวดกันทุกคน นี่เราเป็นอะไรไป คุณท่านรู้เรื่องระหว่างโตโต้กับเขาแล้ว แต่ท่านกลับไม่ว่าอะไร มิหนำซ้ำยังแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา นี่มันอะไรกัน ตอนนี้ความเห็นอกเห็นใจทั้งหมดเทไปยังฝ่ายแทนทวีผู้อยู่อีกฟากฝั่งขอบทะเล นับจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไรลงไปต้องนึกถึงน้ำใจของแทนทวีให้มากเข้าไว้ เพราะคนดีๆอย่างแทนทวีไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงที่จะมารับกับความเจ็บปวดที่เขาไม่ได้ก่อ
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากหกสิบ
พอกลับถึงกรุงเทพฯภูมิบุญก็รู้สึกดีขึ้นเพราะไม่ได้อยู่กับโตโต้เพียงลำพัง คุณอภิสรารออยู่หน้าบ้านกับจันทร์
"เป็นไงบ้างลูก พักผ่อนสบายไหม"
คุณอภิสรามองหน้าของทั้งสองที่เดินลงมาจากรถ
"ดีคับแม่ แผลแห้งแล้ว"
"ดีจ๊ะ เป็นไงบ้างภูมิ เออ ไอ้เจ้าตูบนั่นน่ะป้าให้ลุงหมายพาไปหาหมอแล้วนะ"
"เอ่อ รบกวนคุณท่านหรือเปล่าครับ ภูมิว่าจะดูแลมันเอง"
"ไม่เป็นไรหรอก ป้าไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ดีเหมือนกันจะได้ให้มันคอยกินเศษอาหาร ไม่ต้องทิ้ง"
"ขอบพระคุณนะครับคุณท่านที่เมตตามัน"
"ป้าว่ามันน่าสงสารออกนะ เป็นขี้เรื้อนแล้วยังโดนรถชนอีก คนเรานี่ก็ใจไม้ไส้ระกำกันเสียจริง ไม่ได้สนใจชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่เลย"
เจ้าของบ้านพูดน้ำเสียงแสดงความเมตตาออกมา ภูมิบุญยิ่งซาบซึ้งใจ พอเอาของไปเก็บก็เดินออกมาคุยกับคุณอภิสราอีกครั้ง ส่วนโตโต้กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก
"ภูมิ คุณน้อยน่ะเสียแล้วนะ"
"อะไรนะครับคุณท่าน"
ภูมิบุญอุทานออกมาใบหน้าซีดเผือดลง
"เธอคิดสั้น เรื่องเกิดเมื่ออาทิตย์ก่อน ป้าไม่ให้ส่งข่าวเพราะเดี๋ยวเป็นกังวล"
คุณอภิสราพูดเสียงเรียบ สายตาทอดอาลัย
"ไม่น่าเลย ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย"
"นั่นน่ะสิภูมิ ลูกผัวก็มี ได้ข่าวว่าลูกก็ลาออกจากโรงเรียนเลยนะ ส่วนสามีก็ยังทำงานตามปกติ นี่ล่ะนะผลกรรม ใครบอกมันจะตามไปให้ใช้ในชาติหน้า ชาตินี้ล่ะกรรมสมัยนี้ติดจรวด"
"ทำไมเธอหนีปัญหาแบบนั้นนะครับ ไม่ดีเลย"
ภูมิบุญแสดงความกังวลใจออกมา
"แล้วคนอื่นๆล่ะครับ คุณท่านพอจะทราบข่าวไหม"
"เห็นคุณอนิรุธบอกว่าพวกนั้นก็แย่ไปตามๆกัน ตอนมีเงินก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไอ้คนที่ได้ของมาเราก็ยังพอเอาคืนได้ แต่คนที่เอาเงินไปผลาญจนหมด เราก็ฟ้องล้มละลายไปแล้ว"
ภูมิบุญนิ่งฟังอยู่ ไม่อยากแสดงอาการอะไรออกไปมาก เพราะอย่างน้อยคนพวกนี้ก็โกง เวลาเราเห็นใจสงสารเขา เขาก็หักหลังคดโกงเราได้ นี่ล่ะผลกรรม กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมชดใช้กันเอง
พอไปทำงานพลอยก็ปรี่เข้ามาหาทันทีเมื่อเจอหน้า
"ภูมิ เป็นไงบ้าง เที่ยวสนุกไหม"
"ก็เรื่อยๆอ่ะพลอย ไม่ได้สนุกอะไรมาก แล้วทางนี้เป็นยังไงบ้าง"
"ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะภูมิ เรื่องคุณน้อย"
"เรารู้แล้ว ไม่น่าเลยนะ ไม่น่าคิดสั้นเลย"
"ใช่ แต่น่าสงสารตรงที่เด็กนั่น ลูกชายเขาน่ะ ยังเรียนอยู่ ม ปลายเองนะภูมิ"
"หือ"
พลอยเล่าเรื่องให้ภูมิบุญฟังกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"ทำไมน้องมันคิดไปแบบนั้นล่ะ"
"นั่นน่ะสิ เราเองก็พยายามจะช่วยนะ แต่มันคงยังโกรธอยู่"
"มีอะไรให้เราช่วยบอกนะพลอย"
ภูมิบุญบอกแล้วเดินตามโตโต้เข้าไปในห้อง
"คุณโตโต้ครับ ผมคิดว่าอยากจะจ้างคนมาเทรนพนักงานของเราทั้งบริษัท คุณโตโต้คิดว่ายังไงครับ"
"หือ เทรนอะไรล่ะภูมิ"
"เรื่องแอทติจูดในการทำงานน่ะครับ"
"หือ ยังไง"
"ผมคิดว่าไหนๆบริษัทเราก็เพิ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆมา ถึงเวลาที่เราจะล้างความคิดเก่าๆให้ออกไปจากบริษัทของเรา เพราะถ้าให้คิดแบบเก่าๆ เดี๋ยวปัญหาเดิมก็จะเกิดอีกเหมือนเคย"
ภูมิบุญแจงรายละเอียดออกไป โตโต้นั่งฟังอยู่
"อืม เอาสิภูมิ ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไร แล้วให้ใครเข้าเทรนบ้างล่ะภูมิ"
"ทุกคนในบริษัทครับ ไม่ว่าจะอยู่แผนกอะไรตำแหน่งไหน ต้องเข้าเทรนด้วยกันหมด"
"อ้าว แล้วใครจะทำงานล่ะภูมิ"
"ก็จัดเป็นรอบๆสิครับคุณโตโต้ เดี๋ยวเรื่องคนเทรนผมจะติดต่อพี่ไพลินเอง เพราะที่โรงแรมของพี่ไพลินเทรนกันบ่อยๆ"
ตลอดเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่ภูมิบุญครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา คิดถึงตอนไปหาไพลินที่โรงแรม หลายครั้งที่ไพลินเล่าให้ฟังว่าคนในองค์กรของเธอปฏิบัติกันดีเพียงใดยิ่งที่ให้ภูมิบุญอยากจะนำแนวคิดนั้นกลับมาใช้ที่บริษัท เพราะเห็นการปฏิบัติต่อลุงเดินเอกสารคราวนั้นมันยังฝังติดอยู่ในใจ
"เอาสิภูมิ ถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับบริษัทเราก็ลองทำดู"
"ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้พลอยแจ้งแต่ละแผนกไปเลยนะครับ เพราะเดี๋ยวเราก็มีโปรเจ็กต์ที่เชียงใหม่อีก"
"อืม พี่ว่าเชียงใหม่คงเลื่อนออกไปอีกนะ ภูมิก็เห็นแล้วนี่วัสดุอุปกรณ์ทีใช้มันไม่ได้มาตรฐานเลย พี่ไม่อยากจะเสียชื่อ"
"อ้อ ครับ งั้นช่วงเวลานี้นอกจากเราจะเทรนพนะกงานเรื่องการทำงาน ผมว่าเราหันมาพัฒนาด้านการบริการในรีสอร์ทของเราดีไหมครับ"
ทั้งสองสนทนากันอยู่สักพัก ภูมิบุญก็เดินออกมาบอกพลอยในเรื่องที่คุยกันกับโตโต้ไว้
"ภูมิ น้องคนนั้นโทรมาล่ะ"
"หือ เขาว่ายังไงพลอย"
"เขาบอก เขาอยากตาย" พลอยร้องออกมาหน้าตาตื่น
"อะไรกัน ชีวิตนี้มันเกิดมาง่าย ตายกันง่ายขนาดนั้นเชียว"
"เราก็ตกใจนะภูมิ เนี่ยเราเพิ่งจะวางสายน้องเขาไป"
"แล้วน้องมันอยู่ไหน"
ภูมิบุญถามเสียงเครียด เพราะไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางของเพื่อนรักเป็นแบบนี้มาก่อน
"อยู่หน้าบริษัท"
"ไป เราไปด้วย"
ภูมิบุญพูด พลอยเองทำหน้าไม่ถูก ภูมิบุญเดินกลับเข้าไปบอกโตโต้ว่าจะไปร้านกาแฟ โตโต้ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอทั้งสองลงลิฟท์มาจากออฟฟิศก็ตรงดิ่งไปยังม้านั่งหน้าบริษัท เพราะเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"น้อง"
พลอยร้องออกมาเมื่อเห็นสภาพ เขาเหมือนคนอดนอน ข้าวปลาไม่ได้กินหน้าตาดูซูบผอม เสื้อผ้าดูมอมแมม
"พี่ ผมอยากตาย"
เขาร้องไห้ออกมา ภูมิบุญยืนเม้มปากหนัก สะท้อนบาดลึกลงไปในใจ
"ใจเย็นๆนะคะน้อง มีอะไรไหนเล่าให้พี่ฟังหน่อย"
พลอยปรี่เข้าไปหา เขามองหน้าภูมิบุญเพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
"นี่เพื่อนพี่ ไม่ต้องกลัวเขาช่วยน้องได้นะ"
"ผมไม่เหลือใครแล้วพี่ ชีวิตผมไม่มีค่าอะไรแล้ว"
เขาสะอื้นออกมา สายตาดูปวดร้าวจากสิ่งที่ได้พบเจอมา
"ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ"
"ทำไมพี่ ผมทำอะไรผิด ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย เพื่อนๆไม่มีใครคบกับผมเลย พ่อก็กินแต่เหล้า ผมไม่มีใครแล้ว ผมไม่มีใคร ผมจะอยู่ไปทำไม"
เสียงที่เปล่งออกมามันรันทดหดหู่ พลันภาพในอดีตก็ฉายขึ้นมาในมโนจิตของภูมิบุญ ตอนนั้นตอนที่ยายเสีย ความรู้สึกเหล่านี้มันเคยผ่านมาแล้ว ผ่ากลางใจของเขามาแล้ว มันเจ็บปวดทรมาน แม้กระทั่งทุกวันนี้ มันเป็นแผลเป็นที่ไม่มีทางหาย แม้จะพยายามหาสิ่งดีสิ่งใดมากลบมาเยียวยารักษา แต่แผลนั้นมันบาดลึกเกินที่จะเยียวยา เขารู้ดีว่ามันเป็นยังไงกับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกของการที่คนที่รักโดนพรากจากไป โดยไม่มีแม้คำร่ำลา ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวเดียวดาย เงามืดของโลกใบนี้มันช่างโหดร้าย เมื่อทุกอย่างเริ่มครอบงำ พลันภูมิบุญก็ระลึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ เขาอาจจะคิดแก้แค้นก็เป็นได้ ชีวิตของใครคนหนึ่งที่เคยบริสุทธิ์ผุดผ่องมา แต่โดนใครเอาคราบดำป้ายให้เปื้อนด่าง เขาผิดอะไรหรือ ภูมิบุญปรี่เข้าไปหาบ้าง
"พี่เข้าใจนะครับน้อง ใจเย็นๆนะ อย่าคิดสั้น"
"พี่เป็นใคร พี่จะเข้าใจได้ยังไง พี่รู้เหรอว่าการที่ไม่มีแม่ การที่ไม่มีเพื่อนคบมันเป็นยังไง พี่รู้เหรอ"
เขาตวาดเสียงดัง จนภูมิบุญผงะออก สายตากร้าวโกรธแค้นชิงชังฉายเด่นอยู่
"พี่รู้เหรอว่าการที่ไม่เหลือใครมันรู้สึกยังไง ผมไม่อยากอยู่แบบนี้ ของที่ผมเคยมี ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมไม่ได้เรียน ผมไม่มีที่ไป พี่รู้เหรอว่ามันเป็นยังไง"
ภูมิบุญสะอึกนิ่งน้ำตาคลอออกมา เสียงหัวใจเต้นรุนแรงดังกว่าเดิม เลือดในกายมันฉีดอัดขึ้นมาระเรื่ออยู่บนผิวหน้า พลอยเองก็น้ำตาคลอ พอได้ยินขึ้นมาแบบนี้ก็หันมามองเพื่อนรัก เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่น้องคนนี้กำลังพูดออกมา ภูมิบุญเองก็รู้สึกแบบนี้มาแล้ว
"ใจเย็นๆนะคะน้อง"
"ถ้าพี่ไม่รู้ พี่จะเข้าใจผมได้ยังไง ชีวิตพี่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วนี่ พี่จะเข้าใจเหรอว่าคนที่ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีข้าวกินมันจะเป็นยังไง"
สายตาที่มองจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของภูมิบุญยังไม่วางตา น้ำตาของเขาไหลอาบหน้า สองตาเต็มไปด้วยน้ำตา ภูมิบุญสะท้อนใจอย่างแรง พยายามเม้มปากกักเก็บความรู้สึกไว้
"พี่เข้าใจครับ พี่เข้าใจ"
เสียงที่ลอดออกมามันเหมือนครางออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เข้าใจสิเข้าใจดีว่ามันเป็นยังไง หาคำปลอบ แต่คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรออกไป จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองก็ไม่ฟังใคร ไม่เคยฟังใครเลย แม้แต่ยายที่ตนรัก "อย่าคิดจงเกลียดจงชังเขานะลูก มันไม่ดี มันบาป" คำพูดของคนที่รักเท่าชีวิต เขายังไม่ฟัง แล้วใครหน้าไหน คำพูดแสนหวานอันใดมันจะมารั้งเขาไว้ได้
"ไม่ต้องมาพูด ผมไม่ได้หาพี่เพื่อให้พี่เห็นใจ แค่อยากมาบอกว่า ผมจะไปตายซะให้มันจบๆไป"
"น้องครับ"
ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน เขาลุกขึ้นยืน ทันทีที่เขาจะก้าวขาออกเดิน ภูมิบุญก็คว้าตัวไว้กอดเขาไว้แน่น
"จะให้พี่ทำยังไงครับน้อง บอกพี่ที จะให้พี่ทำยังไง"
ภูมิบุญร้องไห้ออกมา พลังที่กักเก็บความรู้สึกไว้มันพังทลายออกมา พลอยเองก็ร้องไห้ออกมา สะท้อนใจเหลือเกิน ทั้งที่มันผ่านมาแล้ว ทั้งที่เพื่อนรักของเธอผ่านมันมาได้แล้วแท้ๆ เขาเองสะดุ้งตกใจไม่คิดว่าภูมิบุญจะกอดตัวเขาไว้
"พี่ ปล่อยนะ ปล่อยผม ให้ผมไป ผมไม่อยากอยู่"
เขาพยายามดิ้นออก แต่ภูมิบุญก็กอดรัดไว้แน่นกว่าเดิม
"อย่าพูดแบบนั้น อย่าคิดแบบนั้น"
"ทำไม ทำไม ปล่อยผม"
"ฟังนะน้อง ฟังให้ดี"
"ภูมิ"
พลอยร้องออกมา ส่ายหน้าไม่ให้ภูมิบุญขุดเรื่องอดีตของตนขึ้นมาอีก เพราะรู้ดีว่าพอพูเรื่องนี้ทีไร คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือตัวของภูมิบุญเอง
"พี่เข้าใจเราดีที่สุด พี่เข้าใจ เพราะพี่เองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกับเรา ความรู้สึกที่ไม่มีใคร โดนย้ายโรงเรียน ไม่มีข้าวกิน น่ะเหรอ พี่เข้าใจ"
ภูมิบุญสะอื้นออกมา น้ำตาไหลนองหน้า
"ความรู้สึกที่เราต้องสูญเสียคนที่รักไปน่ะหรือ พี่รู้ดี ฟังพี่บ้าง ชีวิตเราไม่ได้มีแค่นี้ บอกพี่สิครับว่าพี่ทำอะไรให้เราได้บ้าง บอกพี่"
คนที่สะอื้นหนักคือภูมิบุญสะอื้นจนหมดเรี่ยวแรงที่จะรั้งเหนี่ยวตัวของน้องเขาไว้ ภูมิบุญทรุดร่างลงกับพื้น สะอื้นปิ่มใจจะขาด พลอยปรี่เข้ามากอดไว้
"พอแล้วภูมิ พอแล้ว ไม่ต้องพูด ไม่ต้องแล้ว"
เสียงร้องไห้ระงมอยู่หน้าบริษัท เขายืนนิ่งมองอยู่ พลอยเองพยายามจะคืนสติให้เพื่อนรัก นานแสนนานกว่าที่ทั้งสองคนจะสงบลง พอหยุดร้องไห้ก็นั่งคุยกัน โชคยังดีที่น้องเขาฟังคำพูดของภูมิบุญกับพลอย หยุดความคิดที่อยากจะไปตายเสีย
"จะเอาแบบนี้เหรอภูมิ ให้น้องเขาไปอยู่กับเราก็ได้นะ"
"ไม่ได้หรอกพลอย บ้านพลอยมีแต่ผู้หญิง เราเห็นใจน้องเขาก็จริงนะ แต่เราไม่อยากสร้างปัญหาอะไรอีกแล้ว"
"แล้วจะหาห้องเช่าให้น้องเขาจริงเหรอ แล้วพ่อของเขาล่ะ"
"ก็ในกรณีที่เขาไม่อยากอยู่บ้านไงพลอย เราไม่รู้จะคิดหาวิธีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว เรื่องที่เรียนพลอยจัดการให้เราได้ไหม เอาแถวนี้ล่ะ จะได้ใกล้หูใกล้ตา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวเราจัดการเอง"
"จะดีเหรอภูมิ เราว่าไปบอกบอสก่อนดีไหม"
"อืม เดี๋ยวเราบอกเอง"
พอกลับเข้าไปทำงานก็ไปเล่าให้โตโต้ฟัง
"คิดดีแล้วเหรอภูมิ พี่ว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของเขาดีกว่าไหม"
"ผมเล่าให้ฟังเฉยๆครับ ไม่ได้ขอความเห็น เดี๋ยวคุณโตโต้จะหาว่าข้ามหน้าข้ามตา"
น้ำเสียงขุ่นมัวไม่พอใจ
"อ้อ พี่ลืมไป เงินเดือนเราเยอะแล้วนี่ เดี่ยวนี้เลยกะจะเลี้ยงเด็กว่างั้น"
ภูมิบุญหันขวับสายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
"คนเราถ้ามีโอกาสที่ดีเท่าเทียมกัน คงไม่มีใครเลวหรอกครับในโลกนี้ คุณโตโต้จะคิดยังไงก็ตามใจ ผมแค่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมมีส่วนร่วม"
"ภูมิ แล้วที่แม่เขาทำกับบริษัทของเราล่ะ"
"แค่ตายยังไม่พอเหรอครับ หรืออยากให้ทุกคนในครอบครัวของคุณน้อยต้องตาย ย่อยยับไปกับตาเหรอครับถึงจะพอใจ"
ภูมิบุญไม่ยอมลดราวาศอกสายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของโตโต้ เขาสะดุ้ง
"พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเถอะ ถ้าเราคิดดีแล้วพี่ก็ไม่ว่าอะไร"
ยอมจำนนเพราะไม่อยากให้ภูมิบุญเคืองตนเอง เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไมเขาเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่มองเขาตาเขียวนี่มากเป็นพิเศษ ยิ่งเห็น ยิ่งใกล้ยิ่งห่วงใยมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่แต่ก่อนเกลียดจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า
"ภูมิเป็นไงบ้างวันนี้ ทำงานเหนื่อยไหม"
พอกลับถึงบ้านก็ทำงานบ้านช่วยอ้อยกับจันทร์ อยู่คุยกับเจ้าของบ้านครู่ใหญ่ เสร็จธุระแล้วก็มีเวลาส่วนตัวเปิดคอมพิวเตอร์เติมเต็มกำลังใจให้ตัวเอง
"ไม่เหนื่อยครับ แต่เครียดนิดหน่อย"
"หือ มีอะไรครับ พี่เป็นห่วงนะ"
ภูมิบุญตัดสินใจเล่าเรื่องต่างๆให้แทนทวีฟัง
"อืม ภูมิแน่ใจแล้วเหรอครับ ว่าเด็กนั่นจะไม่สร้างปัญหาให้"
"ไม่รู้สิครับพี่แทน ภูมิไม่อยากเห็นใครต้องเจ็บปวดอีก"
"เอาเถอะครับ แล้วแต่ภูมิ พี่เข้าใจ"
"พี่แทนยุ่งอยู่ไหมครับ"
"อ้อ ไม่แล้วล่ะ ดึกแล้วเดี๋ยวพี่ก็คงนอน งดทำรายงานไปสักวัน เออภูมิ อยากเห็นหน้าพี่ไหม"
"อยากสิครับ อยากเห็นมาก"
"พี่ยืมกล้องมาจากเพื่อน แป๊บนึงน้า เดี๋ยวพี่ให้ดู"
ภูมิบุญรออยู่ด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นหน้าของแทนทวี นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น พอภาพในจอคอมพิวเตอร์ฉายออกมา ก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ภูมิบุญเอานิ้วลูบที่จอคอมพิวเตอร์แผ่วเบาราวกับว่ามันจะบอบช้ำ แทนทวียังดูเหมือนเดิม เว้นแต่สีผมที่ไปโกรกให้สีอ่อนลง
"พี่แทน ภูมิคิดถึงพี่แทนเหลือเกิน"
"พี่ก็คิดถึงภูมิ คิดถึงมาก"
"พี่แทนยังดูเหมือนเดิมเลยนะครับ หล่อเหมือนเดิมเลย"
"ภูมิซื้อกล้องมาดิวันหลัง พี่ก็อยากเห็นหน้าภูมินะ"
"ได้ครับ เดี๋ยววันหลังภูมิจะแวะซื้อ"
"พี่รักภูมินะ รักเสมอ"
"ภูมิก็รักพี่ครับ รักพี่เสมอ"
วันที่เหน็ดเหนื่อยแบกความรู้สึกที่ปวดร้าวรันทดใจมา พอได้เติมเต็มพลังใจความสดใสก็กลับคืนมา หัวใจที่ห่อเหี่ยวไปกับสิ่งกระทบก็ชุ่มฉ่ำดังเดิม แม้จะนานแสนนานก็จะรอ แม้จะไม่รู้วันเดือนก็จะคอย เขาคนนั้น คนที่เป็นทุกอย่างของหัวใจ เขาคนนั้นคนที่คอยเติมเต็มความรักให้หัวใจมีพลังก้าวต่อไปในวันที่มืดมน
พอวันใหม่ภูมิบุญก็นักเจอกับลูกชายของน้อย เขาชื่อ บาส เรียนอยู่แค่ชั้นมัธยมสี่เขายอมออกมาพบแต่โดยดี เพราะพ่อของเขาโดนไล่ออกจากงานเนื่องจากเครียดจัดและกินเหล้าตลอดเวลาทำงานไม่ได้ ตัวของเขาเองก็คงเครียดอยู่ไม่น้อย เพราะใบหน้าช่างเศร้าหมองไร้ซึ่งแววของความสดใสในแววตา
"กินข้าวมาหรือยังบาส"
ภูมิบุญถามแล้วเอามือไปแตะบ่าเขาเบาๆ บาสส่ายหน้า
"งั้นพี่พาไปกินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวเราค่อยไปซื้อของเข้าห้อง"
ไม่มีเสียงตอบรับจากเขา ก้มหน้าเดินตามหลังไป พลอยเองก็มองอย่างห่วงใย
"แล้วพ่อเป็นไงบ้าง บาส"
"พ่อเมาอย่างเดียว พ่อผมไม่เคยกินเหล้ามาก่อน"
พอถามถึงครอบครัวก็ง้างปากพูดออกมาได้ แต่เหมือนกำลังจะพ่นความรู้สึกออกมาอีก
"มาอยู่อย่างนี้ไม่ห่วงพ่อเหรอ" พลอยหน้าเสีย
"แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมอยู่ไม่ได้ ห่วงก็ห่วง แต่ผมก็กำลังจะตาย"
พูดเรื่องตายขึ้นมาทีไรภูมิบุญรู้สึกจี๊ดขึ้นมาที่ใจ
"อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยพลอย ตามใจเรานะบาส พี่เช่าห้องไว้ให้เราจะมาอยู่เมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนเรื่องเรียนเราไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะส่งเสียเราอย่างที่พี่รับปากเอาไว้ แต่ขออย่างเดียว อย่าพูดเรื่องตายให้พี่ได้ยินอีก ชีวิตเรามีค่าเกินไปที่จะเอาพูดเล่นๆ คนที่เขาไม่อยากเสียชีวิตไปเขาพยายามทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ แต่เรามีชีวิตแต่กลับเอามันมาแช่งเล่นทุกวัน พี่ขอนะครับ"
คำพูดที่แข็งแกร่งกร้าวออกมาจากใจ ใจอ่อนก็จริงแต่เวลาเอาจริงภูมิบุญเองก็ไม่ยอมเหลาะแหละหรืออ่อนให้กับใคร พูดออกมาจากใจ ออกมาจากความรู้สึก เขาจะสบายใจหรือคิดไม่ได้มันเรื่องของเขาแล้ว
"เป็นไงบ้างลูก พักผ่อนสบายไหม"
คุณอภิสรามองหน้าของทั้งสองที่เดินลงมาจากรถ
"ดีคับแม่ แผลแห้งแล้ว"
"ดีจ๊ะ เป็นไงบ้างภูมิ เออ ไอ้เจ้าตูบนั่นน่ะป้าให้ลุงหมายพาไปหาหมอแล้วนะ"
"เอ่อ รบกวนคุณท่านหรือเปล่าครับ ภูมิว่าจะดูแลมันเอง"
"ไม่เป็นไรหรอก ป้าไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ดีเหมือนกันจะได้ให้มันคอยกินเศษอาหาร ไม่ต้องทิ้ง"
"ขอบพระคุณนะครับคุณท่านที่เมตตามัน"
"ป้าว่ามันน่าสงสารออกนะ เป็นขี้เรื้อนแล้วยังโดนรถชนอีก คนเรานี่ก็ใจไม้ไส้ระกำกันเสียจริง ไม่ได้สนใจชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่เลย"
เจ้าของบ้านพูดน้ำเสียงแสดงความเมตตาออกมา ภูมิบุญยิ่งซาบซึ้งใจ พอเอาของไปเก็บก็เดินออกมาคุยกับคุณอภิสราอีกครั้ง ส่วนโตโต้กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก
"ภูมิ คุณน้อยน่ะเสียแล้วนะ"
"อะไรนะครับคุณท่าน"
ภูมิบุญอุทานออกมาใบหน้าซีดเผือดลง
"เธอคิดสั้น เรื่องเกิดเมื่ออาทิตย์ก่อน ป้าไม่ให้ส่งข่าวเพราะเดี๋ยวเป็นกังวล"
คุณอภิสราพูดเสียงเรียบ สายตาทอดอาลัย
"ไม่น่าเลย ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย"
"นั่นน่ะสิภูมิ ลูกผัวก็มี ได้ข่าวว่าลูกก็ลาออกจากโรงเรียนเลยนะ ส่วนสามีก็ยังทำงานตามปกติ นี่ล่ะนะผลกรรม ใครบอกมันจะตามไปให้ใช้ในชาติหน้า ชาตินี้ล่ะกรรมสมัยนี้ติดจรวด"
"ทำไมเธอหนีปัญหาแบบนั้นนะครับ ไม่ดีเลย"
ภูมิบุญแสดงความกังวลใจออกมา
"แล้วคนอื่นๆล่ะครับ คุณท่านพอจะทราบข่าวไหม"
"เห็นคุณอนิรุธบอกว่าพวกนั้นก็แย่ไปตามๆกัน ตอนมีเงินก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไอ้คนที่ได้ของมาเราก็ยังพอเอาคืนได้ แต่คนที่เอาเงินไปผลาญจนหมด เราก็ฟ้องล้มละลายไปแล้ว"
ภูมิบุญนิ่งฟังอยู่ ไม่อยากแสดงอาการอะไรออกไปมาก เพราะอย่างน้อยคนพวกนี้ก็โกง เวลาเราเห็นใจสงสารเขา เขาก็หักหลังคดโกงเราได้ นี่ล่ะผลกรรม กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมชดใช้กันเอง
พอไปทำงานพลอยก็ปรี่เข้ามาหาทันทีเมื่อเจอหน้า
"ภูมิ เป็นไงบ้าง เที่ยวสนุกไหม"
"ก็เรื่อยๆอ่ะพลอย ไม่ได้สนุกอะไรมาก แล้วทางนี้เป็นยังไงบ้าง"
"ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะภูมิ เรื่องคุณน้อย"
"เรารู้แล้ว ไม่น่าเลยนะ ไม่น่าคิดสั้นเลย"
"ใช่ แต่น่าสงสารตรงที่เด็กนั่น ลูกชายเขาน่ะ ยังเรียนอยู่ ม ปลายเองนะภูมิ"
"หือ"
พลอยเล่าเรื่องให้ภูมิบุญฟังกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"ทำไมน้องมันคิดไปแบบนั้นล่ะ"
"นั่นน่ะสิ เราเองก็พยายามจะช่วยนะ แต่มันคงยังโกรธอยู่"
"มีอะไรให้เราช่วยบอกนะพลอย"
ภูมิบุญบอกแล้วเดินตามโตโต้เข้าไปในห้อง
"คุณโตโต้ครับ ผมคิดว่าอยากจะจ้างคนมาเทรนพนักงานของเราทั้งบริษัท คุณโตโต้คิดว่ายังไงครับ"
"หือ เทรนอะไรล่ะภูมิ"
"เรื่องแอทติจูดในการทำงานน่ะครับ"
"หือ ยังไง"
"ผมคิดว่าไหนๆบริษัทเราก็เพิ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆมา ถึงเวลาที่เราจะล้างความคิดเก่าๆให้ออกไปจากบริษัทของเรา เพราะถ้าให้คิดแบบเก่าๆ เดี๋ยวปัญหาเดิมก็จะเกิดอีกเหมือนเคย"
ภูมิบุญแจงรายละเอียดออกไป โตโต้นั่งฟังอยู่
"อืม เอาสิภูมิ ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไร แล้วให้ใครเข้าเทรนบ้างล่ะภูมิ"
"ทุกคนในบริษัทครับ ไม่ว่าจะอยู่แผนกอะไรตำแหน่งไหน ต้องเข้าเทรนด้วยกันหมด"
"อ้าว แล้วใครจะทำงานล่ะภูมิ"
"ก็จัดเป็นรอบๆสิครับคุณโตโต้ เดี๋ยวเรื่องคนเทรนผมจะติดต่อพี่ไพลินเอง เพราะที่โรงแรมของพี่ไพลินเทรนกันบ่อยๆ"
ตลอดเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่ภูมิบุญครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา คิดถึงตอนไปหาไพลินที่โรงแรม หลายครั้งที่ไพลินเล่าให้ฟังว่าคนในองค์กรของเธอปฏิบัติกันดีเพียงใดยิ่งที่ให้ภูมิบุญอยากจะนำแนวคิดนั้นกลับมาใช้ที่บริษัท เพราะเห็นการปฏิบัติต่อลุงเดินเอกสารคราวนั้นมันยังฝังติดอยู่ในใจ
"เอาสิภูมิ ถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับบริษัทเราก็ลองทำดู"
"ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้พลอยแจ้งแต่ละแผนกไปเลยนะครับ เพราะเดี๋ยวเราก็มีโปรเจ็กต์ที่เชียงใหม่อีก"
"อืม พี่ว่าเชียงใหม่คงเลื่อนออกไปอีกนะ ภูมิก็เห็นแล้วนี่วัสดุอุปกรณ์ทีใช้มันไม่ได้มาตรฐานเลย พี่ไม่อยากจะเสียชื่อ"
"อ้อ ครับ งั้นช่วงเวลานี้นอกจากเราจะเทรนพนะกงานเรื่องการทำงาน ผมว่าเราหันมาพัฒนาด้านการบริการในรีสอร์ทของเราดีไหมครับ"
ทั้งสองสนทนากันอยู่สักพัก ภูมิบุญก็เดินออกมาบอกพลอยในเรื่องที่คุยกันกับโตโต้ไว้
"ภูมิ น้องคนนั้นโทรมาล่ะ"
"หือ เขาว่ายังไงพลอย"
"เขาบอก เขาอยากตาย" พลอยร้องออกมาหน้าตาตื่น
"อะไรกัน ชีวิตนี้มันเกิดมาง่าย ตายกันง่ายขนาดนั้นเชียว"
"เราก็ตกใจนะภูมิ เนี่ยเราเพิ่งจะวางสายน้องเขาไป"
"แล้วน้องมันอยู่ไหน"
ภูมิบุญถามเสียงเครียด เพราะไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางของเพื่อนรักเป็นแบบนี้มาก่อน
"อยู่หน้าบริษัท"
"ไป เราไปด้วย"
ภูมิบุญพูด พลอยเองทำหน้าไม่ถูก ภูมิบุญเดินกลับเข้าไปบอกโตโต้ว่าจะไปร้านกาแฟ โตโต้ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอทั้งสองลงลิฟท์มาจากออฟฟิศก็ตรงดิ่งไปยังม้านั่งหน้าบริษัท เพราะเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"น้อง"
พลอยร้องออกมาเมื่อเห็นสภาพ เขาเหมือนคนอดนอน ข้าวปลาไม่ได้กินหน้าตาดูซูบผอม เสื้อผ้าดูมอมแมม
"พี่ ผมอยากตาย"
เขาร้องไห้ออกมา ภูมิบุญยืนเม้มปากหนัก สะท้อนบาดลึกลงไปในใจ
"ใจเย็นๆนะคะน้อง มีอะไรไหนเล่าให้พี่ฟังหน่อย"
พลอยปรี่เข้าไปหา เขามองหน้าภูมิบุญเพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
"นี่เพื่อนพี่ ไม่ต้องกลัวเขาช่วยน้องได้นะ"
"ผมไม่เหลือใครแล้วพี่ ชีวิตผมไม่มีค่าอะไรแล้ว"
เขาสะอื้นออกมา สายตาดูปวดร้าวจากสิ่งที่ได้พบเจอมา
"ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ"
"ทำไมพี่ ผมทำอะไรผิด ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย เพื่อนๆไม่มีใครคบกับผมเลย พ่อก็กินแต่เหล้า ผมไม่มีใครแล้ว ผมไม่มีใคร ผมจะอยู่ไปทำไม"
เสียงที่เปล่งออกมามันรันทดหดหู่ พลันภาพในอดีตก็ฉายขึ้นมาในมโนจิตของภูมิบุญ ตอนนั้นตอนที่ยายเสีย ความรู้สึกเหล่านี้มันเคยผ่านมาแล้ว ผ่ากลางใจของเขามาแล้ว มันเจ็บปวดทรมาน แม้กระทั่งทุกวันนี้ มันเป็นแผลเป็นที่ไม่มีทางหาย แม้จะพยายามหาสิ่งดีสิ่งใดมากลบมาเยียวยารักษา แต่แผลนั้นมันบาดลึกเกินที่จะเยียวยา เขารู้ดีว่ามันเป็นยังไงกับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกของการที่คนที่รักโดนพรากจากไป โดยไม่มีแม้คำร่ำลา ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวเดียวดาย เงามืดของโลกใบนี้มันช่างโหดร้าย เมื่อทุกอย่างเริ่มครอบงำ พลันภูมิบุญก็ระลึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ เขาอาจจะคิดแก้แค้นก็เป็นได้ ชีวิตของใครคนหนึ่งที่เคยบริสุทธิ์ผุดผ่องมา แต่โดนใครเอาคราบดำป้ายให้เปื้อนด่าง เขาผิดอะไรหรือ ภูมิบุญปรี่เข้าไปหาบ้าง
"พี่เข้าใจนะครับน้อง ใจเย็นๆนะ อย่าคิดสั้น"
"พี่เป็นใคร พี่จะเข้าใจได้ยังไง พี่รู้เหรอว่าการที่ไม่มีแม่ การที่ไม่มีเพื่อนคบมันเป็นยังไง พี่รู้เหรอ"
เขาตวาดเสียงดัง จนภูมิบุญผงะออก สายตากร้าวโกรธแค้นชิงชังฉายเด่นอยู่
"พี่รู้เหรอว่าการที่ไม่เหลือใครมันรู้สึกยังไง ผมไม่อยากอยู่แบบนี้ ของที่ผมเคยมี ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมไม่ได้เรียน ผมไม่มีที่ไป พี่รู้เหรอว่ามันเป็นยังไง"
ภูมิบุญสะอึกนิ่งน้ำตาคลอออกมา เสียงหัวใจเต้นรุนแรงดังกว่าเดิม เลือดในกายมันฉีดอัดขึ้นมาระเรื่ออยู่บนผิวหน้า พลอยเองก็น้ำตาคลอ พอได้ยินขึ้นมาแบบนี้ก็หันมามองเพื่อนรัก เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่น้องคนนี้กำลังพูดออกมา ภูมิบุญเองก็รู้สึกแบบนี้มาแล้ว
"ใจเย็นๆนะคะน้อง"
"ถ้าพี่ไม่รู้ พี่จะเข้าใจผมได้ยังไง ชีวิตพี่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วนี่ พี่จะเข้าใจเหรอว่าคนที่ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีข้าวกินมันจะเป็นยังไง"
สายตาที่มองจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของภูมิบุญยังไม่วางตา น้ำตาของเขาไหลอาบหน้า สองตาเต็มไปด้วยน้ำตา ภูมิบุญสะท้อนใจอย่างแรง พยายามเม้มปากกักเก็บความรู้สึกไว้
"พี่เข้าใจครับ พี่เข้าใจ"
เสียงที่ลอดออกมามันเหมือนครางออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เข้าใจสิเข้าใจดีว่ามันเป็นยังไง หาคำปลอบ แต่คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรออกไป จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองก็ไม่ฟังใคร ไม่เคยฟังใครเลย แม้แต่ยายที่ตนรัก "อย่าคิดจงเกลียดจงชังเขานะลูก มันไม่ดี มันบาป" คำพูดของคนที่รักเท่าชีวิต เขายังไม่ฟัง แล้วใครหน้าไหน คำพูดแสนหวานอันใดมันจะมารั้งเขาไว้ได้
"ไม่ต้องมาพูด ผมไม่ได้หาพี่เพื่อให้พี่เห็นใจ แค่อยากมาบอกว่า ผมจะไปตายซะให้มันจบๆไป"
"น้องครับ"
ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน เขาลุกขึ้นยืน ทันทีที่เขาจะก้าวขาออกเดิน ภูมิบุญก็คว้าตัวไว้กอดเขาไว้แน่น
"จะให้พี่ทำยังไงครับน้อง บอกพี่ที จะให้พี่ทำยังไง"
ภูมิบุญร้องไห้ออกมา พลังที่กักเก็บความรู้สึกไว้มันพังทลายออกมา พลอยเองก็ร้องไห้ออกมา สะท้อนใจเหลือเกิน ทั้งที่มันผ่านมาแล้ว ทั้งที่เพื่อนรักของเธอผ่านมันมาได้แล้วแท้ๆ เขาเองสะดุ้งตกใจไม่คิดว่าภูมิบุญจะกอดตัวเขาไว้
"พี่ ปล่อยนะ ปล่อยผม ให้ผมไป ผมไม่อยากอยู่"
เขาพยายามดิ้นออก แต่ภูมิบุญก็กอดรัดไว้แน่นกว่าเดิม
"อย่าพูดแบบนั้น อย่าคิดแบบนั้น"
"ทำไม ทำไม ปล่อยผม"
"ฟังนะน้อง ฟังให้ดี"
"ภูมิ"
พลอยร้องออกมา ส่ายหน้าไม่ให้ภูมิบุญขุดเรื่องอดีตของตนขึ้นมาอีก เพราะรู้ดีว่าพอพูเรื่องนี้ทีไร คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือตัวของภูมิบุญเอง
"พี่เข้าใจเราดีที่สุด พี่เข้าใจ เพราะพี่เองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกับเรา ความรู้สึกที่ไม่มีใคร โดนย้ายโรงเรียน ไม่มีข้าวกิน น่ะเหรอ พี่เข้าใจ"
ภูมิบุญสะอื้นออกมา น้ำตาไหลนองหน้า
"ความรู้สึกที่เราต้องสูญเสียคนที่รักไปน่ะหรือ พี่รู้ดี ฟังพี่บ้าง ชีวิตเราไม่ได้มีแค่นี้ บอกพี่สิครับว่าพี่ทำอะไรให้เราได้บ้าง บอกพี่"
คนที่สะอื้นหนักคือภูมิบุญสะอื้นจนหมดเรี่ยวแรงที่จะรั้งเหนี่ยวตัวของน้องเขาไว้ ภูมิบุญทรุดร่างลงกับพื้น สะอื้นปิ่มใจจะขาด พลอยปรี่เข้ามากอดไว้
"พอแล้วภูมิ พอแล้ว ไม่ต้องพูด ไม่ต้องแล้ว"
เสียงร้องไห้ระงมอยู่หน้าบริษัท เขายืนนิ่งมองอยู่ พลอยเองพยายามจะคืนสติให้เพื่อนรัก นานแสนนานกว่าที่ทั้งสองคนจะสงบลง พอหยุดร้องไห้ก็นั่งคุยกัน โชคยังดีที่น้องเขาฟังคำพูดของภูมิบุญกับพลอย หยุดความคิดที่อยากจะไปตายเสีย
"จะเอาแบบนี้เหรอภูมิ ให้น้องเขาไปอยู่กับเราก็ได้นะ"
"ไม่ได้หรอกพลอย บ้านพลอยมีแต่ผู้หญิง เราเห็นใจน้องเขาก็จริงนะ แต่เราไม่อยากสร้างปัญหาอะไรอีกแล้ว"
"แล้วจะหาห้องเช่าให้น้องเขาจริงเหรอ แล้วพ่อของเขาล่ะ"
"ก็ในกรณีที่เขาไม่อยากอยู่บ้านไงพลอย เราไม่รู้จะคิดหาวิธีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว เรื่องที่เรียนพลอยจัดการให้เราได้ไหม เอาแถวนี้ล่ะ จะได้ใกล้หูใกล้ตา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวเราจัดการเอง"
"จะดีเหรอภูมิ เราว่าไปบอกบอสก่อนดีไหม"
"อืม เดี๋ยวเราบอกเอง"
พอกลับเข้าไปทำงานก็ไปเล่าให้โตโต้ฟัง
"คิดดีแล้วเหรอภูมิ พี่ว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของเขาดีกว่าไหม"
"ผมเล่าให้ฟังเฉยๆครับ ไม่ได้ขอความเห็น เดี๋ยวคุณโตโต้จะหาว่าข้ามหน้าข้ามตา"
น้ำเสียงขุ่นมัวไม่พอใจ
"อ้อ พี่ลืมไป เงินเดือนเราเยอะแล้วนี่ เดี่ยวนี้เลยกะจะเลี้ยงเด็กว่างั้น"
ภูมิบุญหันขวับสายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
"คนเราถ้ามีโอกาสที่ดีเท่าเทียมกัน คงไม่มีใครเลวหรอกครับในโลกนี้ คุณโตโต้จะคิดยังไงก็ตามใจ ผมแค่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมมีส่วนร่วม"
"ภูมิ แล้วที่แม่เขาทำกับบริษัทของเราล่ะ"
"แค่ตายยังไม่พอเหรอครับ หรืออยากให้ทุกคนในครอบครัวของคุณน้อยต้องตาย ย่อยยับไปกับตาเหรอครับถึงจะพอใจ"
ภูมิบุญไม่ยอมลดราวาศอกสายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของโตโต้ เขาสะดุ้ง
"พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเถอะ ถ้าเราคิดดีแล้วพี่ก็ไม่ว่าอะไร"
ยอมจำนนเพราะไม่อยากให้ภูมิบุญเคืองตนเอง เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไมเขาเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่มองเขาตาเขียวนี่มากเป็นพิเศษ ยิ่งเห็น ยิ่งใกล้ยิ่งห่วงใยมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่แต่ก่อนเกลียดจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า
"ภูมิเป็นไงบ้างวันนี้ ทำงานเหนื่อยไหม"
พอกลับถึงบ้านก็ทำงานบ้านช่วยอ้อยกับจันทร์ อยู่คุยกับเจ้าของบ้านครู่ใหญ่ เสร็จธุระแล้วก็มีเวลาส่วนตัวเปิดคอมพิวเตอร์เติมเต็มกำลังใจให้ตัวเอง
"ไม่เหนื่อยครับ แต่เครียดนิดหน่อย"
"หือ มีอะไรครับ พี่เป็นห่วงนะ"
ภูมิบุญตัดสินใจเล่าเรื่องต่างๆให้แทนทวีฟัง
"อืม ภูมิแน่ใจแล้วเหรอครับ ว่าเด็กนั่นจะไม่สร้างปัญหาให้"
"ไม่รู้สิครับพี่แทน ภูมิไม่อยากเห็นใครต้องเจ็บปวดอีก"
"เอาเถอะครับ แล้วแต่ภูมิ พี่เข้าใจ"
"พี่แทนยุ่งอยู่ไหมครับ"
"อ้อ ไม่แล้วล่ะ ดึกแล้วเดี๋ยวพี่ก็คงนอน งดทำรายงานไปสักวัน เออภูมิ อยากเห็นหน้าพี่ไหม"
"อยากสิครับ อยากเห็นมาก"
"พี่ยืมกล้องมาจากเพื่อน แป๊บนึงน้า เดี๋ยวพี่ให้ดู"
ภูมิบุญรออยู่ด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นหน้าของแทนทวี นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น พอภาพในจอคอมพิวเตอร์ฉายออกมา ก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ภูมิบุญเอานิ้วลูบที่จอคอมพิวเตอร์แผ่วเบาราวกับว่ามันจะบอบช้ำ แทนทวียังดูเหมือนเดิม เว้นแต่สีผมที่ไปโกรกให้สีอ่อนลง
"พี่แทน ภูมิคิดถึงพี่แทนเหลือเกิน"
"พี่ก็คิดถึงภูมิ คิดถึงมาก"
"พี่แทนยังดูเหมือนเดิมเลยนะครับ หล่อเหมือนเดิมเลย"
"ภูมิซื้อกล้องมาดิวันหลัง พี่ก็อยากเห็นหน้าภูมินะ"
"ได้ครับ เดี๋ยววันหลังภูมิจะแวะซื้อ"
"พี่รักภูมินะ รักเสมอ"
"ภูมิก็รักพี่ครับ รักพี่เสมอ"
วันที่เหน็ดเหนื่อยแบกความรู้สึกที่ปวดร้าวรันทดใจมา พอได้เติมเต็มพลังใจความสดใสก็กลับคืนมา หัวใจที่ห่อเหี่ยวไปกับสิ่งกระทบก็ชุ่มฉ่ำดังเดิม แม้จะนานแสนนานก็จะรอ แม้จะไม่รู้วันเดือนก็จะคอย เขาคนนั้น คนที่เป็นทุกอย่างของหัวใจ เขาคนนั้นคนที่คอยเติมเต็มความรักให้หัวใจมีพลังก้าวต่อไปในวันที่มืดมน
พอวันใหม่ภูมิบุญก็นักเจอกับลูกชายของน้อย เขาชื่อ บาส เรียนอยู่แค่ชั้นมัธยมสี่เขายอมออกมาพบแต่โดยดี เพราะพ่อของเขาโดนไล่ออกจากงานเนื่องจากเครียดจัดและกินเหล้าตลอดเวลาทำงานไม่ได้ ตัวของเขาเองก็คงเครียดอยู่ไม่น้อย เพราะใบหน้าช่างเศร้าหมองไร้ซึ่งแววของความสดใสในแววตา
"กินข้าวมาหรือยังบาส"
ภูมิบุญถามแล้วเอามือไปแตะบ่าเขาเบาๆ บาสส่ายหน้า
"งั้นพี่พาไปกินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวเราค่อยไปซื้อของเข้าห้อง"
ไม่มีเสียงตอบรับจากเขา ก้มหน้าเดินตามหลังไป พลอยเองก็มองอย่างห่วงใย
"แล้วพ่อเป็นไงบ้าง บาส"
"พ่อเมาอย่างเดียว พ่อผมไม่เคยกินเหล้ามาก่อน"
พอถามถึงครอบครัวก็ง้างปากพูดออกมาได้ แต่เหมือนกำลังจะพ่นความรู้สึกออกมาอีก
"มาอยู่อย่างนี้ไม่ห่วงพ่อเหรอ" พลอยหน้าเสีย
"แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมอยู่ไม่ได้ ห่วงก็ห่วง แต่ผมก็กำลังจะตาย"
พูดเรื่องตายขึ้นมาทีไรภูมิบุญรู้สึกจี๊ดขึ้นมาที่ใจ
"อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยพลอย ตามใจเรานะบาส พี่เช่าห้องไว้ให้เราจะมาอยู่เมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนเรื่องเรียนเราไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะส่งเสียเราอย่างที่พี่รับปากเอาไว้ แต่ขออย่างเดียว อย่าพูดเรื่องตายให้พี่ได้ยินอีก ชีวิตเรามีค่าเกินไปที่จะเอาพูดเล่นๆ คนที่เขาไม่อยากเสียชีวิตไปเขาพยายามทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ แต่เรามีชีวิตแต่กลับเอามันมาแช่งเล่นทุกวัน พี่ขอนะครับ"
คำพูดที่แข็งแกร่งกร้าวออกมาจากใจ ใจอ่อนก็จริงแต่เวลาเอาจริงภูมิบุญเองก็ไม่ยอมเหลาะแหละหรืออ่อนให้กับใคร พูดออกมาจากใจ ออกมาจากความรู้สึก เขาจะสบายใจหรือคิดไม่ได้มันเรื่องของเขาแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากห้าสิบเก้า
ภูมิบุญเดินนำหน้าตรงไปยังโรงแรมที่พัก ในใจยังขุ่นมัวตะกิดตะขวงใจกับคนตัวใหญ่ที่เดินตามหลังมายังไม่หาย
"เอี๊ยดดด"
"เอ๋งๆๆ"
เสียงเบรครถดังลั่นถนน ใต้ท้องรถมีสุนัขที่พยายามดิ้นหนีล้อรถยนต์อยู่ ภูมิบุญชะงักหันไปดู
"ตายแล้ว"
คนขับรถไม่ได้สนใจจะออกรถขับต่อไปแต่ภูมิบุญปรี่เข้าไปเคาะกระจกรถ
"คุณๆ ลงมานี่นะ"
เขาตกใจลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวลงรถมา สีหน้าดูเจื่อนๆ
"ทำไมขับรถไม่ดู คุณเหยียบหมานะ"
"เอ่อ มันเดินไม่ดูเอง นี่มันถนนนะคุณ โผล่พรวดพราดออกมาใครจะทันมอง"
"ไม่รู้ล่ะคุณต้องพามันไปโรงพยาบาลด้วย"
ภูมิบุญเสียงแข็งสายตากร้าว โตโต้เดินมาใกล้ๆมองดูอยู่
"ภูมิ ไปเถอะอย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
"ไม่ได้ คุณทำผิดคุณต้องรับผิดชอบด้วย"
"โอ๊ย คุณเป็นบ้าหรือเปล่า กะอีแค่หมาตัวเดียว มันเป็นญาติคุณเหรอ"
เขาเองก็ไม่ยอม ภูมิบุญเม้มปากแน่น
"เห็นแก่ตัว มันก็มีชีวิตเหมือนคุณนั่นล่ะ ทำแล้วพูดแบบนี้เหรอ"
"คุณอย่ามาว่าผมนะ ผมไม่ช่วยอะไรมันทั้งนั้น คุณอยากช่วยก็ช่วยเอง"
"ชั่ว"
"เอ๊ะ ไอ้นี่"
"เฮ้ย มึงจะทำอะไร จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ไอ้เลว"
เขาทำท่าจะปรี่เข้ามาหาภูมิบุญแต่โตโต้ก็ขยับตัวออกไปบังไว้ ด้วยร่างโตโต้ที่สูงใหญ่กว่า แม้แขนจะเจ็บแต่ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งบังไว้เขาจึงผงะออกแล้วถอยเดินกลับเข้า รถขับหนีไป
"ภูมิเป็นอะไรไหม"
หันมาหาคนตัวเล็กแต่ภูมิบุญ กำลังนั่งจะเอื้อมมือไปแตะสุนัขตัวนั้นอยู่ มันไม่ยอมให้เข้าใกล้แม้ขาจะเจ็บ เสียงร้องระงมไปทั่วทั้งถนน คนที่สัญจรไปมาหันมามองแต่ก็ไม่มีใครทำอะไร แค่สายตาที่มองมา บ้างสงสาร บ้างแสยะปากรังเกียจ
"ไม่เป็นไรแล้วนะ มาเดี๋ยวฉันพาไปหาหมอ"
ภูมิบุญพูดเสียงคลอ พยายามจะเอื้อมมือไปแตะตัวมัน แต่ยิ่งยื่นมือไปมันยิ่งดิ้นหนีจะกัดเอาท่าเดียว ภูมิบุญหลับตาน้ำตาไหลแข็งใจเอื้อมมือไปลูบที่ขามันแผ่วเบา เนิ่นนานกว่าที่มันจะยอมให้จับ พยายามเอาใจสื่อออกไปว่าไม่ได้คิดร้าย สัญชาตญาณของสัตว์ทั้งเล็กใหญ่ แม้แต่มนุษย์เราเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าใครประสงค์ดีหรือร้าย สุนัขขี้เรื้อนผอมโซตัวนี้เป็นธรรมดาที่ใครเห็นใครก็เมินหน้าหนี สภาพของมันคือสุนัขจรจัด แต่ภูมิบุญไม่ได้สนใจ พอแตะตัวมันได้ก็ค่อยๆลูบจนมันยอมไว้ใจ
"ภูมิกลับเถอะ"
"ผมจะพามันไปหาหมอ"
เสียงที่เปล่งออกมาทำให้โตโต้เงียบไปเพราะมันเจือออกมาด้วยน้ำตา พอมันยอมให้จับให้ลูบ ภูมิบุญก็อุ้มตัวของมันขึ้นไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด โตโต้เองก็ได้แต่มองอยู่ เขายอมไปกับภูมิบุญโดยไปแจ้งพนักงานที่รีสอร์ทของตนให้เอารถออก ระหว่างทางสายตาของภูมิบุญดูเป็นกังวล สายตาที่เจือไปด้วยน้ำตา
"ทำไมทำแบบนี้ล่ะภูมิ มันแค่หมาจรจัดตัวนึงนะ"
โตโต้ถามขึ้นเมื่อนั่งรอหมออยู่หน้าคลีนิก
"มันก็มีชีวิตนี่ครับคุณโตโต้ มันขี้เรื้อนไม่ใช่มันจะไม่รักชีวิตของมัน เราเป็นคนแต่เราไม่มีสิทธิ์จะไปเอาชีวิตของสัตว์พวกนี้ได้ตามอำเภอใจนี่ครับ"
"อืม เรานี่ใจดีจังนะ ผิดกับตอนที่ตีมือปืนนั่น"
โตโต้พูดออกมาแล้วหัวเราะ ภูมิบุญหายเศร้าทันทีแต่กลับรู้สึกหมั่นไส้แทน
"ผมก็ไม่ได้ใจดี เป็นคนดีอะไรมากมายนักหรอกครับ แค่อย่ามาร้ายกับผม"
"ครับพี่รู้ รู้ว่าภูมิเป็นคนยังไง แล้วหมานี่จะทำยังไง"
โตโต้ปลี่ยนประเด็นเพราะน้ำเสียงของภูมิบุญที่เครียดขรึมขึ้นมา ภูมิบุญนิ่งคิดอยู่
"อยากเอามันกลับไปกรุงเทพฯด้วยไหมล่ะภูมิ"
โตโต้พูดขึ้นลอยๆ แต่ภูมิบุญหันขวับมา สายตาเหมือนเด้กที่กำลังจะได้ของรักเป็นของขวัญ
"จริงเหรอครับ คุณโตโต้"
"ดีใจขนาดนั้นเชียว ที่บ้านเราก็ไม่มีหมา เดี๋ยวลองถามแม่ดู"
โตโต้พูด ภูมิบุญนั่งยิ้มอยู่อย่างมีความสุข โตโต้เหลือบมามองก็ยิ้มออกมา
"วันนี้เป็นไงบ้างพลอย"
กายถามขึ้นเมื่อพลอยก้าวขึ้นนั่งข้างๆในรถหรู วันนี้พลอยไม่ต้องรอให้เขาเรียก หรือรอให้ใครบีบแตรไล่เหมือนแต่ก่อน ก้าวขึ้นรถทันทีที่เห็น ในใจยังร้อนรุ่มอยู่มากเรื่องของเด็กคนเมื่อวาน
"ก็ดีค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว แต่เครียดๆนิดหน่อย"
"เอา น่า อย่าไปเครียด เรื่องบางเรื่องพี่รู้ว่ามันมีผลทางใจ ห้ามไม่ให้คิดยาก แต่เราคิดอยู่ฝ่ายเดียว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะพลอย เราเองนั่นล่ะที่จะลำบาก"
กายพูดขึ้น อารมณ์ดีเป็นพิเศษ แค่ได้เจอพลอยทุกวัน เจอทีท่าที่ไม่ได้ดัดจริตแสดงออกมา เจอตัวตนที่แท้จริงของพลอย เขายิ่งอยากเจอเธอทุกวัน
"งั้นวันนี้ไปกินข้าวกันก่อนกลับนะ จะได้สบายใจ"
"พี่จีบหนูเหรอคะ"
พลอยโพล่งออกมา กายถึงกับหัวเราะ
"อ้าว ไม่รู้ตัวหรอกเหรอเนี่ย โหนะคนเราพี่ตามเช้าเย็นแบบนี้ไม่เรียกว่าจีบจะเรียกว่าอะไรล่ะครับน้องพลอย"
"ทำไมล่ะคะพี่"
หันขวับมาจ้องหน้า ทำเอากายเงียบลงทันที ทำหน้าไม่ถูก
"พี่ชอบเรานะพลอย เราไม่เหมือนคนอื่น ไม่เสแสร้ง คนอื่นๆที่เข้ามาเขาหวังอย่างอื่นมากกว่า แต่เราทำให้พี่รู้ว่าคนดีๆก็ยังมีอยู่"
"หนูก็ไม่ได้ดีนะคะ หนูก็อยากได้ผลประโยชน์ เงินน่ะมีใครบ้างไม่อยากได้"
"ฮ่าๆๆ เอาสิ เราอยากได้อะไรล่ะ"
กายก็ไม่ยอมแพ้ ทำเอาพลอยนิ่งคิดอยู่
"ก็รถหรูๆสักคัน คอนโดใจกลางเมือง เงินฝากในบัญชีทุกเดือน เป็นไงคะ พอได้ไหม"
พูดออกไปเพราะอยากรู้สีหน้าท่าทางของเขา แต่กายกลับยิ้มออกมา
"ไปดูรถกันเลยไหม"
"พี่"
"อ้าว ก็พี่โอเคไง ทำไมล่ะ"
"พี่คะ ไม่ต้องหรอก หนูล้อเล่น ท่ารวยมากขนาดนั้น ไปซื้อของให้คนด้อยโอกาสจะดีกว่าไหมคะ หนูไม่ได้ต้องการของแบบนั้น"
"อ้าวนะ ก็เราเสนอมาเอง"
"พอเถอะค่ะ"
พลอยเสียงแข็งขึ้น
"อ่านะ คนเรา เฮ้อพี่ทำอะไรผิดไปอีกเนี่ย"
กายบ่นออกมาคนเดียว สายตามองจ้องไปตามถนน
"พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกค่ะ หนูผิดเองที่ล้อเล่นไม่เข้าเรื่อง หนูไม่ชอบคนอวดร่ำอวดรวย รวยแล้วยังไงคะ กินข้าวไหม ก็กิน รวยแล้วตอนนอนไม่กรนเหรอคะ ก็คนเหมือนๆกัน แต่โอกาสทางสังคมมันแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง"
พลอยโพล่งออกมา
"คร้าบ พี่เข้าใจแล้ว โดนสวดเลยกู"
"อะไรนะพี่"
พลอยแว้ดเสียงขึ้น
"ปะ เปล่าคร้าบ โหดุนะเรา"
"จะไปกินข้าวที่ไหนล่ะคะ หิวแล้ว"
พลอยพูดออกมา กายยิ้มแก้มปริ
"พี่แทน ภูมิจะเลี้ยงหมาแล้วนะ"
พอมีเวลาส่วนตัวก็หามุมสงบเงียบเปิดมือถือออนไลน์ แทนทวีมารออยู่ก่อนแล้ว
"จริงเหรอภูมิ พันธุ์อะไรอ่ะ"
"หมาข้างถนนอ่ะครับ พอดีมันโดนรถชน"
"หา จริงเหรอ แน่ใจแล้วเหรอภูมิ"
"ครับ มันน่าสงสารออก"
"เอาเถอะ พี่เชื่อว่าภูมิเป็นคนใจดี สงสารมันไม่น่าแปลก คิดถึงพี่ไหม"
"ไม่มีวันไหน วินาทีไหนที่ภูมิจะไม่คิดถึงพี่นะครับ"
"ชื่นใจจังคับ พี่ยุ่งมากช่วงนี้ ทำรายงานเรียงวิชา เหนื่อยมาก"
"พี่แทนพักเยอะๆนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย"
"อยากกอดภูมิจังเลย"
"ก็รีบเรียนให้จบนะครับ ภูมิรออยู่"
ภูมิบุญคุยกับแทนทวีทางโทรศัพท์อยู่นานพอสมควร แทนทวีขอตัวไปดูหนังสือต่อภูมิบุญจึงเดินกลับมาเอาที่ชาร์ตมือถือในห้อง จากวันเป็นสัปดาห์ ตลอดอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน ทุกเวลาที่เฝ้ามองกริยาท่าทางของภูมิบุญ โตโต้รู้สึกเป็นสุขใจ รอยยิ้มของภูมิบุญเวลาไปหาเจ้าขี้เรื้อนตัวนั้นเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนอย่างประหลาดไม่เคยเห็น รอยยิ้มที่แม้นปรายมาทางเขาสักหน่อย มันคงตราตรึงติดใจอยู่ไม่จางหาย
"แล้วจะตั้งชื่อมันว่าอะไรล่ะภูมิ"
โตโต้ถามขึ้นตอนเดินออกมาจากคลีนิก
"ยังไม่ได้คิดเลยครับ แล้วคุณท่านว่ายังไงบ้างครับ"
"ไม่ว่าอะไรนิ แม่บอกดีเหมือนกันจะได้ให้มันกินเศษอาหาร"
"ครับ เดี๋ยวผมดูแลมันเอง"
"เรานี่ก็ใจบุญเหมือนกันนะเนี่ย"
"มันน่าสงสารนี่ครับ แล้วเราจะเอามันกลับยังไงล่ะครับ คุณโตโต้"
ภูมิบุญมองหน้าโตโต้
"เดี๋ยวให้คนที่นี่ขับรถเอามันไปส่งให้"
แขนที่เจ็บตกสะเก็ดแห้งแล้ว เจ็บนิดหน่อยแต่ไมมากนัก เพราะภูมิบุญล้างแผลให้เช้าเย็น พอกลับไปที่โรงแรมก็เก็บของเตรียมกลับเข้ากรุงเทพฯ ภูมิบุญเห็นโตโต้แขนยังไม่หายดีนักจึงเก็บกระเป๋าให้
"พี่ว่าเราน่าจะอยู่ต่ออีกสักคืนนะ"
"ไม่ดีหรอกครับ เป็นห่วงที่บริษัท"
"ไม่เป็นไรหรอกน่าภูมิ แม่พี่ก็ดูอยู่ พี่อยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน"
"ทำไมล่ะครับ แขนก็เริ่มหายดีแล้วนี่"
"พี่อยากอยู่กับภูมิ"
โตโต้พูดออกมาลอยๆ แต่คำพูดที่เลื่อนลอยนั้นสะกิดใจของภูมิเหลือเกิน ภูมิบุญถอนหายใจหลุบสายตาลงต่ำทันที ยิ่งพยายามหนีห่าง เขายิ่งดึงทุกอย่างให้กลับคืนมาเป็นดังเดิม
"อย่าเลยครับคุณโตโต้ แค่นี้ผมก็รู้สึกลำบากใจมากแล้ว"
"ทำไมภูมิ เราคิดว่าไอ้แทนมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหรอ"
น้ำเสียงขุ่นเข้มขึ้น
"ครับ ผมเชื่อใจคนที่ผมรัก"
"หึ รักกันจริงนะ อย่าลืมสิว่าพี่เป็นผัวคนแรกของเรานะ"
โตโต้โพล่งออกมา สายตาเบิกกว้าง
"ไม่ใช่นี่ครับ ผัวคนแรกอยู่ที่เพชรบูรณ์ คุณโตโต้ครับ ผมมีผัวคนแรกตั้งแต่เรียน มอห้า กว่าจะมาถึงคุณโตโต้ผมเองก็โดนมาเยอะเหมือนกันนะครับ"
ไม่มีเสียงตอบ แต่สายตาที่มองโกรธจัด
"งั้นนอนกับใครก็คงไม่เสียหายสินะ"
"คุณจะทำอะไรคุณโตโต้"
ภูมิบุญร้องขึ้นเพราะโตโต้เดินตรงเข้าหา
"อ้าว จะทำไมล่ะ ในเมื่อนอนกับใครก็ได้ นอนกับพี่หน่อยจะเป็นไรไป"
"อย่านะ ผมไม่ได้มั่วนะ"
โตโต้ไม่ฟังเสียงเหวี่ยงตัวของภูมิบุญลงเตียงไปอย่างแรง ร่างสะท้อนขึ้นมา แล้วเขาก็โถมกายทับทันที
"อย่านะ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ"
ภูมิบุญพยายามดิ้นออกจากวงแขนของโตโต้ กดไปที่แผลใบหน้าของโตโต้เหยเกแต่ไม่ร้องออกมาสักคำ เลือดของแผลที่กำลังตกสะเก็ดไหลออกมา โตโต้ไม่ยอมหยุด เขาซุกไซร้ไปตามซอกคอที่คนตัวเล็กห่อคอไว้ โตโต้พลิกตัวของภูมิบุญให้นอนคว่ำลงแล้วเขาก็ดึงเฉพาะกางเกงออก
"พอที คุณไม่ต่างไปจากสัตว์"
ภูมิบุญร้องออกมา ไม่ดิ้นหนีไม่พยายามขัดขืนอีกต่อไป นอนนิ่งอยู่ท่านั้น คำพูดมันกระตุกใจของโตโต้เขาหยุดการกระทำลง แล้วพลิกกายไปนอนข้างๆ
"พี่ขอโทษ"
เขาครางออกมา ภูมิบุญเม้มปากแน่น ไม่มีน้ำตา พอทีกับการร้องไห้ไร้สาระกับอีแค่เรื่องนี้ ภูมิบุญจัดการกับกางเกงของตัวเองแล้วกระเด้งตัวออกจากเตียง
"ผมทำแผลให้"
อยากจะเดินหนีไปเสีย แต่ภาพที่เห็นมันก็ไม่อาจจะทำให้หันหลังหนีไปได้
"ไม่เป็นไร พี่ควรจะโดนแบบนี้ล่ะ"
โตโต้พูดออกมา เหม่อมองออกไปทางอื่น ภูมิบุญถอนหายใจแล้วไปหยิบกล่องทำแผลมานั่งลงข้างๆ
"อย่าทำแบบนี้อีกนะครับคุณโตโต้ ผมขอร้อง ถ้าไม่เห็นแก่ผม ก็เห็นแก่หน้าคุณท่านด้วย ถ้าท่านรู้ขึ้นมา มันจะลำบาก"
ภูมิบุญพูดเสียงเรียบทำแผลโดยไม่มองหน้าของโตโต้
"พี่ไม่รับปากหรอกนะภูมิ ช่วยไม่ได้ยิ่งอยู่ใกล้เราพี่ยิ่งอยากเข้าหา"
"ไหนบอกไม่ชอบเกย์ไงครับ หรือว่าติดใจ"
"คงเป็นอย่างหลัง คนอื่นพี่ก็ไม่ชอบนะ มันมาติดอยู่ที่เรานี่ล่ะ"
"ทำไมล่ะครับ เกย์มันก็เหมือนๆกัน ผมไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหนเลย"
"ไม่รู้สิภูมิ รู้แต่ว่าพี่ชอบมองเราว่ะ หรือว่าพี่จะเป็นเกย์ไปแล้ว"
ภูมิบุญถอนหายใจออกมา อยากจะเอาชนะคำพูดของเขาเหมือนกัน แต่ปัญหามันคงไม่จบถ้าหากต่อล้อต่อเถียงกับเขา
"อย่าเป็นเลยครับ อยู่ในที่ที่คุณโตโต้ควรอยู่นั่นล่ะดีแล้ว"
"ที่ที่พี่ควรอยู่ มันคือที่ที่มีภูมิอยู่ด้วยนะ"
ได้แต่เม้มปากหนัก มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ ภูมิบุญคิดในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิดหรืออย่างที่ปากพูด ความรู้สึกต่างหากที่สำคัญ
"เอาเถอะครับ ตกลงเราอยู่ต่ออีกคืนก็ได้ แต่คุณโตโต้โทรไปเรียนคุณท่านเองนะครับ"
"เรียบร้อยตั้งนานแล้ว แม่ไม่เห็นว่าอะไรนี่"
ภูมิบุญปราดตามองขึ้น นี่เขาขี้โกงเสียจริง
"หึหึ เราไปไหนไม่รอดหรอกนะภูมิ อย่าพยายามหนีพี่เลย"
โตโต้พูดขึ้นทีเล่นทีจริง ภูมิบุญเม้มปากแน่น
"ตกลงจะเอายังไงครับคุณโตโต้ นี่คุณพูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม ผมมีพี่แทนอยู่แล้วและผมก็รักเขามาก ถึงแม้ไม่มีเขาผมก็ไม่เอาคุณ"
"ภูมิ"
โตโต้ขึ้นเสียงสายตากร้าวเหมือนโดนสบประมาท
"เข้าใจผมด้วย จะให้ผมทำกับคุณท่านได้ยังไง คุณจะให้ผมทำแบบนี้กับคุณท่านได้ยังไง"
อนิจจัง น้ำตาไหลออกมา พูดถึงผู้มีพระคุณขึ้นมาทีไรหัวใจมันสั่นไหวไป ยิ่งโดนบีบคั้นให้พูด เหมือนยิ่งเค้นความในใจที่กกักเก็บไว้ให้หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา โตโต้ชะงักไปตกใจในอาการของภูมิบุญ
"เอ่อ พี่"
"พอทีเถอะครับ อย่าทำแบบนี้อีกผมขอร้อง คุณจะเกลียดโกรธผมยังไงก็ได้ แต่อย่าให้ผมต้องทำร้ายคุณท่าน ผมทำไม่ได้"
เสียงสะอื้นดังออกมา ภูมิบุญจ้องมองใบหน้าโตโต้ไม่ยอมวางตา ม่านน้ำตาที่ไหลออกมามันยิ่งทำให้โตโต้เข้าใจในความคิดของภูมิบุญมากยิ่ง ขึ้น ภูมิบุญเดินหนีไปแล้ว โตโต้นั่งอึ้งอยู่ พลันในใจก็คิดขึ้นมาได้
"พี่พอจะเข้าใจเรานะภูมิ แต่พี่ก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ภูมิคือคนที่พี่อยากได้ และพี่ก็ต้องได้"
ไม่คิดถึงผู้เป็นมารดา ไม่สนใจหัวอกคนอื่น เพราะคิดเพียงแค่ว่า ยิ่งภูมิบุญมีเหตุผลที่น่าฟังแบบนี้ เขาเองยิ่งสนใจในตัวของภูมิบุญมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว เป็นคนที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เคยรู้จักมา ยิ่งชิดใกล้ยิ่งอยากครอบครอง ยิ่งจ้องมองยิ่งบาดลึกลงไปในใจ จากที่เกลียดเข้าเส้นเลือด กลายเป็นอยากเอาชนะ แต่พอเอาชนะไม่ได้ใจตัวเองก็อ่อนละลายไปเอง หมายให้เขาเจ็บคิดร้ายต่อเขา ตัวเราเองที่เจ็บ หันมองมาดูตัวเองบ้างสักครา บางสิ่งที่เรากำลังวิ่งตามหา มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆก็ได้ บางอย่างที่เราไขว่คว้าพยายามหามาทั้งชีวิต มันอาจจะเป็นแค่สิ่งเร้าให้เราทำเท่านั้น แต่ใจจริงๆของเราอยากได้มันไหม ตอบคำถามตัวเองให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะไปตั้งคำถามกับใคร ฟังเสียงหัวใจของตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปรับฟังใคร ถ้าหากว่าเข้าใจความต้องการของใจเราแล้ว ความสุขที่เราคอยหามันก็อยู่ไม่ไกลหรอก จริงไหม
"เอี๊ยดดด"
"เอ๋งๆๆ"
เสียงเบรครถดังลั่นถนน ใต้ท้องรถมีสุนัขที่พยายามดิ้นหนีล้อรถยนต์อยู่ ภูมิบุญชะงักหันไปดู
"ตายแล้ว"
คนขับรถไม่ได้สนใจจะออกรถขับต่อไปแต่ภูมิบุญปรี่เข้าไปเคาะกระจกรถ
"คุณๆ ลงมานี่นะ"
เขาตกใจลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวลงรถมา สีหน้าดูเจื่อนๆ
"ทำไมขับรถไม่ดู คุณเหยียบหมานะ"
"เอ่อ มันเดินไม่ดูเอง นี่มันถนนนะคุณ โผล่พรวดพราดออกมาใครจะทันมอง"
"ไม่รู้ล่ะคุณต้องพามันไปโรงพยาบาลด้วย"
ภูมิบุญเสียงแข็งสายตากร้าว โตโต้เดินมาใกล้ๆมองดูอยู่
"ภูมิ ไปเถอะอย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
"ไม่ได้ คุณทำผิดคุณต้องรับผิดชอบด้วย"
"โอ๊ย คุณเป็นบ้าหรือเปล่า กะอีแค่หมาตัวเดียว มันเป็นญาติคุณเหรอ"
เขาเองก็ไม่ยอม ภูมิบุญเม้มปากแน่น
"เห็นแก่ตัว มันก็มีชีวิตเหมือนคุณนั่นล่ะ ทำแล้วพูดแบบนี้เหรอ"
"คุณอย่ามาว่าผมนะ ผมไม่ช่วยอะไรมันทั้งนั้น คุณอยากช่วยก็ช่วยเอง"
"ชั่ว"
"เอ๊ะ ไอ้นี่"
"เฮ้ย มึงจะทำอะไร จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ไอ้เลว"
เขาทำท่าจะปรี่เข้ามาหาภูมิบุญแต่โตโต้ก็ขยับตัวออกไปบังไว้ ด้วยร่างโตโต้ที่สูงใหญ่กว่า แม้แขนจะเจ็บแต่ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งบังไว้เขาจึงผงะออกแล้วถอยเดินกลับเข้า รถขับหนีไป
"ภูมิเป็นอะไรไหม"
หันมาหาคนตัวเล็กแต่ภูมิบุญ กำลังนั่งจะเอื้อมมือไปแตะสุนัขตัวนั้นอยู่ มันไม่ยอมให้เข้าใกล้แม้ขาจะเจ็บ เสียงร้องระงมไปทั่วทั้งถนน คนที่สัญจรไปมาหันมามองแต่ก็ไม่มีใครทำอะไร แค่สายตาที่มองมา บ้างสงสาร บ้างแสยะปากรังเกียจ
"ไม่เป็นไรแล้วนะ มาเดี๋ยวฉันพาไปหาหมอ"
ภูมิบุญพูดเสียงคลอ พยายามจะเอื้อมมือไปแตะตัวมัน แต่ยิ่งยื่นมือไปมันยิ่งดิ้นหนีจะกัดเอาท่าเดียว ภูมิบุญหลับตาน้ำตาไหลแข็งใจเอื้อมมือไปลูบที่ขามันแผ่วเบา เนิ่นนานกว่าที่มันจะยอมให้จับ พยายามเอาใจสื่อออกไปว่าไม่ได้คิดร้าย สัญชาตญาณของสัตว์ทั้งเล็กใหญ่ แม้แต่มนุษย์เราเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าใครประสงค์ดีหรือร้าย สุนัขขี้เรื้อนผอมโซตัวนี้เป็นธรรมดาที่ใครเห็นใครก็เมินหน้าหนี สภาพของมันคือสุนัขจรจัด แต่ภูมิบุญไม่ได้สนใจ พอแตะตัวมันได้ก็ค่อยๆลูบจนมันยอมไว้ใจ
"ภูมิกลับเถอะ"
"ผมจะพามันไปหาหมอ"
เสียงที่เปล่งออกมาทำให้โตโต้เงียบไปเพราะมันเจือออกมาด้วยน้ำตา พอมันยอมให้จับให้ลูบ ภูมิบุญก็อุ้มตัวของมันขึ้นไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด โตโต้เองก็ได้แต่มองอยู่ เขายอมไปกับภูมิบุญโดยไปแจ้งพนักงานที่รีสอร์ทของตนให้เอารถออก ระหว่างทางสายตาของภูมิบุญดูเป็นกังวล สายตาที่เจือไปด้วยน้ำตา
"ทำไมทำแบบนี้ล่ะภูมิ มันแค่หมาจรจัดตัวนึงนะ"
โตโต้ถามขึ้นเมื่อนั่งรอหมออยู่หน้าคลีนิก
"มันก็มีชีวิตนี่ครับคุณโตโต้ มันขี้เรื้อนไม่ใช่มันจะไม่รักชีวิตของมัน เราเป็นคนแต่เราไม่มีสิทธิ์จะไปเอาชีวิตของสัตว์พวกนี้ได้ตามอำเภอใจนี่ครับ"
"อืม เรานี่ใจดีจังนะ ผิดกับตอนที่ตีมือปืนนั่น"
โตโต้พูดออกมาแล้วหัวเราะ ภูมิบุญหายเศร้าทันทีแต่กลับรู้สึกหมั่นไส้แทน
"ผมก็ไม่ได้ใจดี เป็นคนดีอะไรมากมายนักหรอกครับ แค่อย่ามาร้ายกับผม"
"ครับพี่รู้ รู้ว่าภูมิเป็นคนยังไง แล้วหมานี่จะทำยังไง"
โตโต้ปลี่ยนประเด็นเพราะน้ำเสียงของภูมิบุญที่เครียดขรึมขึ้นมา ภูมิบุญนิ่งคิดอยู่
"อยากเอามันกลับไปกรุงเทพฯด้วยไหมล่ะภูมิ"
โตโต้พูดขึ้นลอยๆ แต่ภูมิบุญหันขวับมา สายตาเหมือนเด้กที่กำลังจะได้ของรักเป็นของขวัญ
"จริงเหรอครับ คุณโตโต้"
"ดีใจขนาดนั้นเชียว ที่บ้านเราก็ไม่มีหมา เดี๋ยวลองถามแม่ดู"
โตโต้พูด ภูมิบุญนั่งยิ้มอยู่อย่างมีความสุข โตโต้เหลือบมามองก็ยิ้มออกมา
"วันนี้เป็นไงบ้างพลอย"
กายถามขึ้นเมื่อพลอยก้าวขึ้นนั่งข้างๆในรถหรู วันนี้พลอยไม่ต้องรอให้เขาเรียก หรือรอให้ใครบีบแตรไล่เหมือนแต่ก่อน ก้าวขึ้นรถทันทีที่เห็น ในใจยังร้อนรุ่มอยู่มากเรื่องของเด็กคนเมื่อวาน
"ก็ดีค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว แต่เครียดๆนิดหน่อย"
"เอา น่า อย่าไปเครียด เรื่องบางเรื่องพี่รู้ว่ามันมีผลทางใจ ห้ามไม่ให้คิดยาก แต่เราคิดอยู่ฝ่ายเดียว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะพลอย เราเองนั่นล่ะที่จะลำบาก"
กายพูดขึ้น อารมณ์ดีเป็นพิเศษ แค่ได้เจอพลอยทุกวัน เจอทีท่าที่ไม่ได้ดัดจริตแสดงออกมา เจอตัวตนที่แท้จริงของพลอย เขายิ่งอยากเจอเธอทุกวัน
"งั้นวันนี้ไปกินข้าวกันก่อนกลับนะ จะได้สบายใจ"
"พี่จีบหนูเหรอคะ"
พลอยโพล่งออกมา กายถึงกับหัวเราะ
"อ้าว ไม่รู้ตัวหรอกเหรอเนี่ย โหนะคนเราพี่ตามเช้าเย็นแบบนี้ไม่เรียกว่าจีบจะเรียกว่าอะไรล่ะครับน้องพลอย"
"ทำไมล่ะคะพี่"
หันขวับมาจ้องหน้า ทำเอากายเงียบลงทันที ทำหน้าไม่ถูก
"พี่ชอบเรานะพลอย เราไม่เหมือนคนอื่น ไม่เสแสร้ง คนอื่นๆที่เข้ามาเขาหวังอย่างอื่นมากกว่า แต่เราทำให้พี่รู้ว่าคนดีๆก็ยังมีอยู่"
"หนูก็ไม่ได้ดีนะคะ หนูก็อยากได้ผลประโยชน์ เงินน่ะมีใครบ้างไม่อยากได้"
"ฮ่าๆๆ เอาสิ เราอยากได้อะไรล่ะ"
กายก็ไม่ยอมแพ้ ทำเอาพลอยนิ่งคิดอยู่
"ก็รถหรูๆสักคัน คอนโดใจกลางเมือง เงินฝากในบัญชีทุกเดือน เป็นไงคะ พอได้ไหม"
พูดออกไปเพราะอยากรู้สีหน้าท่าทางของเขา แต่กายกลับยิ้มออกมา
"ไปดูรถกันเลยไหม"
"พี่"
"อ้าว ก็พี่โอเคไง ทำไมล่ะ"
"พี่คะ ไม่ต้องหรอก หนูล้อเล่น ท่ารวยมากขนาดนั้น ไปซื้อของให้คนด้อยโอกาสจะดีกว่าไหมคะ หนูไม่ได้ต้องการของแบบนั้น"
"อ้าวนะ ก็เราเสนอมาเอง"
"พอเถอะค่ะ"
พลอยเสียงแข็งขึ้น
"อ่านะ คนเรา เฮ้อพี่ทำอะไรผิดไปอีกเนี่ย"
กายบ่นออกมาคนเดียว สายตามองจ้องไปตามถนน
"พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกค่ะ หนูผิดเองที่ล้อเล่นไม่เข้าเรื่อง หนูไม่ชอบคนอวดร่ำอวดรวย รวยแล้วยังไงคะ กินข้าวไหม ก็กิน รวยแล้วตอนนอนไม่กรนเหรอคะ ก็คนเหมือนๆกัน แต่โอกาสทางสังคมมันแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง"
พลอยโพล่งออกมา
"คร้าบ พี่เข้าใจแล้ว โดนสวดเลยกู"
"อะไรนะพี่"
พลอยแว้ดเสียงขึ้น
"ปะ เปล่าคร้าบ โหดุนะเรา"
"จะไปกินข้าวที่ไหนล่ะคะ หิวแล้ว"
พลอยพูดออกมา กายยิ้มแก้มปริ
"พี่แทน ภูมิจะเลี้ยงหมาแล้วนะ"
พอมีเวลาส่วนตัวก็หามุมสงบเงียบเปิดมือถือออนไลน์ แทนทวีมารออยู่ก่อนแล้ว
"จริงเหรอภูมิ พันธุ์อะไรอ่ะ"
"หมาข้างถนนอ่ะครับ พอดีมันโดนรถชน"
"หา จริงเหรอ แน่ใจแล้วเหรอภูมิ"
"ครับ มันน่าสงสารออก"
"เอาเถอะ พี่เชื่อว่าภูมิเป็นคนใจดี สงสารมันไม่น่าแปลก คิดถึงพี่ไหม"
"ไม่มีวันไหน วินาทีไหนที่ภูมิจะไม่คิดถึงพี่นะครับ"
"ชื่นใจจังคับ พี่ยุ่งมากช่วงนี้ ทำรายงานเรียงวิชา เหนื่อยมาก"
"พี่แทนพักเยอะๆนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย"
"อยากกอดภูมิจังเลย"
"ก็รีบเรียนให้จบนะครับ ภูมิรออยู่"
ภูมิบุญคุยกับแทนทวีทางโทรศัพท์อยู่นานพอสมควร แทนทวีขอตัวไปดูหนังสือต่อภูมิบุญจึงเดินกลับมาเอาที่ชาร์ตมือถือในห้อง จากวันเป็นสัปดาห์ ตลอดอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน ทุกเวลาที่เฝ้ามองกริยาท่าทางของภูมิบุญ โตโต้รู้สึกเป็นสุขใจ รอยยิ้มของภูมิบุญเวลาไปหาเจ้าขี้เรื้อนตัวนั้นเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนอย่างประหลาดไม่เคยเห็น รอยยิ้มที่แม้นปรายมาทางเขาสักหน่อย มันคงตราตรึงติดใจอยู่ไม่จางหาย
"แล้วจะตั้งชื่อมันว่าอะไรล่ะภูมิ"
โตโต้ถามขึ้นตอนเดินออกมาจากคลีนิก
"ยังไม่ได้คิดเลยครับ แล้วคุณท่านว่ายังไงบ้างครับ"
"ไม่ว่าอะไรนิ แม่บอกดีเหมือนกันจะได้ให้มันกินเศษอาหาร"
"ครับ เดี๋ยวผมดูแลมันเอง"
"เรานี่ก็ใจบุญเหมือนกันนะเนี่ย"
"มันน่าสงสารนี่ครับ แล้วเราจะเอามันกลับยังไงล่ะครับ คุณโตโต้"
ภูมิบุญมองหน้าโตโต้
"เดี๋ยวให้คนที่นี่ขับรถเอามันไปส่งให้"
แขนที่เจ็บตกสะเก็ดแห้งแล้ว เจ็บนิดหน่อยแต่ไมมากนัก เพราะภูมิบุญล้างแผลให้เช้าเย็น พอกลับไปที่โรงแรมก็เก็บของเตรียมกลับเข้ากรุงเทพฯ ภูมิบุญเห็นโตโต้แขนยังไม่หายดีนักจึงเก็บกระเป๋าให้
"พี่ว่าเราน่าจะอยู่ต่ออีกสักคืนนะ"
"ไม่ดีหรอกครับ เป็นห่วงที่บริษัท"
"ไม่เป็นไรหรอกน่าภูมิ แม่พี่ก็ดูอยู่ พี่อยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน"
"ทำไมล่ะครับ แขนก็เริ่มหายดีแล้วนี่"
"พี่อยากอยู่กับภูมิ"
โตโต้พูดออกมาลอยๆ แต่คำพูดที่เลื่อนลอยนั้นสะกิดใจของภูมิเหลือเกิน ภูมิบุญถอนหายใจหลุบสายตาลงต่ำทันที ยิ่งพยายามหนีห่าง เขายิ่งดึงทุกอย่างให้กลับคืนมาเป็นดังเดิม
"อย่าเลยครับคุณโตโต้ แค่นี้ผมก็รู้สึกลำบากใจมากแล้ว"
"ทำไมภูมิ เราคิดว่าไอ้แทนมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหรอ"
น้ำเสียงขุ่นเข้มขึ้น
"ครับ ผมเชื่อใจคนที่ผมรัก"
"หึ รักกันจริงนะ อย่าลืมสิว่าพี่เป็นผัวคนแรกของเรานะ"
โตโต้โพล่งออกมา สายตาเบิกกว้าง
"ไม่ใช่นี่ครับ ผัวคนแรกอยู่ที่เพชรบูรณ์ คุณโตโต้ครับ ผมมีผัวคนแรกตั้งแต่เรียน มอห้า กว่าจะมาถึงคุณโตโต้ผมเองก็โดนมาเยอะเหมือนกันนะครับ"
ไม่มีเสียงตอบ แต่สายตาที่มองโกรธจัด
"งั้นนอนกับใครก็คงไม่เสียหายสินะ"
"คุณจะทำอะไรคุณโตโต้"
ภูมิบุญร้องขึ้นเพราะโตโต้เดินตรงเข้าหา
"อ้าว จะทำไมล่ะ ในเมื่อนอนกับใครก็ได้ นอนกับพี่หน่อยจะเป็นไรไป"
"อย่านะ ผมไม่ได้มั่วนะ"
โตโต้ไม่ฟังเสียงเหวี่ยงตัวของภูมิบุญลงเตียงไปอย่างแรง ร่างสะท้อนขึ้นมา แล้วเขาก็โถมกายทับทันที
"อย่านะ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ"
ภูมิบุญพยายามดิ้นออกจากวงแขนของโตโต้ กดไปที่แผลใบหน้าของโตโต้เหยเกแต่ไม่ร้องออกมาสักคำ เลือดของแผลที่กำลังตกสะเก็ดไหลออกมา โตโต้ไม่ยอมหยุด เขาซุกไซร้ไปตามซอกคอที่คนตัวเล็กห่อคอไว้ โตโต้พลิกตัวของภูมิบุญให้นอนคว่ำลงแล้วเขาก็ดึงเฉพาะกางเกงออก
"พอที คุณไม่ต่างไปจากสัตว์"
ภูมิบุญร้องออกมา ไม่ดิ้นหนีไม่พยายามขัดขืนอีกต่อไป นอนนิ่งอยู่ท่านั้น คำพูดมันกระตุกใจของโตโต้เขาหยุดการกระทำลง แล้วพลิกกายไปนอนข้างๆ
"พี่ขอโทษ"
เขาครางออกมา ภูมิบุญเม้มปากแน่น ไม่มีน้ำตา พอทีกับการร้องไห้ไร้สาระกับอีแค่เรื่องนี้ ภูมิบุญจัดการกับกางเกงของตัวเองแล้วกระเด้งตัวออกจากเตียง
"ผมทำแผลให้"
อยากจะเดินหนีไปเสีย แต่ภาพที่เห็นมันก็ไม่อาจจะทำให้หันหลังหนีไปได้
"ไม่เป็นไร พี่ควรจะโดนแบบนี้ล่ะ"
โตโต้พูดออกมา เหม่อมองออกไปทางอื่น ภูมิบุญถอนหายใจแล้วไปหยิบกล่องทำแผลมานั่งลงข้างๆ
"อย่าทำแบบนี้อีกนะครับคุณโตโต้ ผมขอร้อง ถ้าไม่เห็นแก่ผม ก็เห็นแก่หน้าคุณท่านด้วย ถ้าท่านรู้ขึ้นมา มันจะลำบาก"
ภูมิบุญพูดเสียงเรียบทำแผลโดยไม่มองหน้าของโตโต้
"พี่ไม่รับปากหรอกนะภูมิ ช่วยไม่ได้ยิ่งอยู่ใกล้เราพี่ยิ่งอยากเข้าหา"
"ไหนบอกไม่ชอบเกย์ไงครับ หรือว่าติดใจ"
"คงเป็นอย่างหลัง คนอื่นพี่ก็ไม่ชอบนะ มันมาติดอยู่ที่เรานี่ล่ะ"
"ทำไมล่ะครับ เกย์มันก็เหมือนๆกัน ผมไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหนเลย"
"ไม่รู้สิภูมิ รู้แต่ว่าพี่ชอบมองเราว่ะ หรือว่าพี่จะเป็นเกย์ไปแล้ว"
ภูมิบุญถอนหายใจออกมา อยากจะเอาชนะคำพูดของเขาเหมือนกัน แต่ปัญหามันคงไม่จบถ้าหากต่อล้อต่อเถียงกับเขา
"อย่าเป็นเลยครับ อยู่ในที่ที่คุณโตโต้ควรอยู่นั่นล่ะดีแล้ว"
"ที่ที่พี่ควรอยู่ มันคือที่ที่มีภูมิอยู่ด้วยนะ"
ได้แต่เม้มปากหนัก มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ ภูมิบุญคิดในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิดหรืออย่างที่ปากพูด ความรู้สึกต่างหากที่สำคัญ
"เอาเถอะครับ ตกลงเราอยู่ต่ออีกคืนก็ได้ แต่คุณโตโต้โทรไปเรียนคุณท่านเองนะครับ"
"เรียบร้อยตั้งนานแล้ว แม่ไม่เห็นว่าอะไรนี่"
ภูมิบุญปราดตามองขึ้น นี่เขาขี้โกงเสียจริง
"หึหึ เราไปไหนไม่รอดหรอกนะภูมิ อย่าพยายามหนีพี่เลย"
โตโต้พูดขึ้นทีเล่นทีจริง ภูมิบุญเม้มปากแน่น
"ตกลงจะเอายังไงครับคุณโตโต้ นี่คุณพูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม ผมมีพี่แทนอยู่แล้วและผมก็รักเขามาก ถึงแม้ไม่มีเขาผมก็ไม่เอาคุณ"
"ภูมิ"
โตโต้ขึ้นเสียงสายตากร้าวเหมือนโดนสบประมาท
"เข้าใจผมด้วย จะให้ผมทำกับคุณท่านได้ยังไง คุณจะให้ผมทำแบบนี้กับคุณท่านได้ยังไง"
อนิจจัง น้ำตาไหลออกมา พูดถึงผู้มีพระคุณขึ้นมาทีไรหัวใจมันสั่นไหวไป ยิ่งโดนบีบคั้นให้พูด เหมือนยิ่งเค้นความในใจที่กกักเก็บไว้ให้หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา โตโต้ชะงักไปตกใจในอาการของภูมิบุญ
"เอ่อ พี่"
"พอทีเถอะครับ อย่าทำแบบนี้อีกผมขอร้อง คุณจะเกลียดโกรธผมยังไงก็ได้ แต่อย่าให้ผมต้องทำร้ายคุณท่าน ผมทำไม่ได้"
เสียงสะอื้นดังออกมา ภูมิบุญจ้องมองใบหน้าโตโต้ไม่ยอมวางตา ม่านน้ำตาที่ไหลออกมามันยิ่งทำให้โตโต้เข้าใจในความคิดของภูมิบุญมากยิ่ง ขึ้น ภูมิบุญเดินหนีไปแล้ว โตโต้นั่งอึ้งอยู่ พลันในใจก็คิดขึ้นมาได้
"พี่พอจะเข้าใจเรานะภูมิ แต่พี่ก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ภูมิคือคนที่พี่อยากได้ และพี่ก็ต้องได้"
ไม่คิดถึงผู้เป็นมารดา ไม่สนใจหัวอกคนอื่น เพราะคิดเพียงแค่ว่า ยิ่งภูมิบุญมีเหตุผลที่น่าฟังแบบนี้ เขาเองยิ่งสนใจในตัวของภูมิบุญมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว เป็นคนที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เคยรู้จักมา ยิ่งชิดใกล้ยิ่งอยากครอบครอง ยิ่งจ้องมองยิ่งบาดลึกลงไปในใจ จากที่เกลียดเข้าเส้นเลือด กลายเป็นอยากเอาชนะ แต่พอเอาชนะไม่ได้ใจตัวเองก็อ่อนละลายไปเอง หมายให้เขาเจ็บคิดร้ายต่อเขา ตัวเราเองที่เจ็บ หันมองมาดูตัวเองบ้างสักครา บางสิ่งที่เรากำลังวิ่งตามหา มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆก็ได้ บางอย่างที่เราไขว่คว้าพยายามหามาทั้งชีวิต มันอาจจะเป็นแค่สิ่งเร้าให้เราทำเท่านั้น แต่ใจจริงๆของเราอยากได้มันไหม ตอบคำถามตัวเองให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะไปตั้งคำถามกับใคร ฟังเสียงหัวใจของตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปรับฟังใคร ถ้าหากว่าเข้าใจความต้องการของใจเราแล้ว ความสุขที่เราคอยหามันก็อยู่ไม่ไกลหรอก จริงไหม
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553
(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากห้าสิบแปด)
ตอนนี้สิบโมงครึ่ง สภาพการจราจรทางไปสนามบินสุวรรณภูมิไม่คับคั่งเท่าไรนัก บ้านเรือนของผู้คนรายทาง มีสีเขียวๆของต้นไม้ใบหญ้าแซมขึ้นมา หัวใจที่หวั่นไหวล่องลอยไป ถ้าหากว่าตอนนี้พระอาทิตย์กำลังฉายแสงแรกของวันที่กรุงเทพฯ ป่านนี้ทางฝั่งโน้นคงจะกำลังมองแสงสุดท้ายของวันอยู่ ตะวันคงเคลื่อนคล้อยลงต่ำไปทุกที เวลาบ่ายหน้าตรงไปทางสนามบินทีไรภาพความทรงจำเหล่านั้นทำไมมันเด่นชัดขึ้นมาอีกทุกที ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้ทุกข์ใจ แต่มันหวิวๆในใจ ทำไมคนเราต้องพรากจากกันด้วยนะ ทำไมโลกใบนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ทำไมเมื่อเจอกันแล้ว รักกันแล้วต้องกล่าวคำร่ำลากัน แม้จะรู้ดีว่าจากกันแล้วต้องได้เจอกันอีก แต่ใจจริง ไม่อยากห่างจากคนรักเลยสักชั่ววินาทีเดียว
"คิดอะไรอยู่ภูมิ ตาลอยเชียว"
เสียงทุ้มเข้มทำให้ภูมิบุญสะดุ้งตื่นจากภวังค์
"เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ผมคิดเรื่อยเปื่อย"
"เหรอ ตาลอยเชียวนะ มากับพี่นี่ลำบากใจมากขนาดนี้เลยเหรอภูมิ"
อยากตอบออกไปว่า "ใช่" แต่ก็นิ่งเงียบเสีย ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ได้ยิน
"แต่พี่ไม่สนหรอกนะ ฮ่าๆๆ มีเรามาด้วยก็พอแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน"
โตโต้พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี ภูมิบุญเม้มปากหนัก หันหน้าออกนอกกระจกรถอีก เอาเถอะยังไงๆก็ต้องอยู่กับเขาอีกนาน ยิ่งต่อล้อต่อเถียงเขายิ่งได้ใจ ภูมิบุญคิด พอถึงสนามบินก็รีบเข้าไปเช็คอินขึ้นเครื่องเพราะมาทันเวลาพอดี เสียงเครื่องยนต์ที่กำลังจะพาเครื่องขึ้นสู่น่านฟ้าดังกึกก้อง ภูมิบุญเม้มปากหลับตา ไม่ได้กลัวเสียงนี้ แต่มันบีบหัวใจเหลือเกิน มันเหมือนเสียงของคนที่พรากคนรักไปจากเขา มันเหมือนเสียงสัญญาณของความโหดร้าย เสียงที่ดังเสียดแทงเข้าไปกลางใจ ไม่อยากจะได้ยิน
"กลัวเหรอภูมิ"
คนตัวใหญ้โน้มใบหน้าที่มีเคราเขียวครึ้มเข้ามาใกล้ มือหนาก็เอื้อมมากุมมือของภูมิบุญไว้ ภูมิบุญจะชักมือออกแต่โตโต้ก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
"อย่าดึงแขนพี่แรงสิภูมิ มันยังเจ็บอยู่นะ"
"ก็ปล่อยสิครับ อึดอัด"
"พี่ชอบนี่ ทริปนี้ตามใจพี่นะ หึหึ"
หัวเราะออกมาภูมิบุญหันมามองตาเขียว แต่โตโต้กลับยิ้มอย่างพึงใจ
การยึดทรัพย์สินของผู้ที่มีรายชื่อโกงบริษัทกระทำในทันทีที่มีหมายศาลออกมา ทรัพย์สินส่วนใหญ่โดนยึดกรรมสิทธิ์เอาไว้โดยไม่ให้ใครแตะต้อง น้อยดูเหมือนจะโดนหนักกว่าใครเพราะเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งคดีอาญาจ้างวานฆ่า และคดโกงบริษัท ทั้งบ้านทั้งรถ ทรพย์สินต่างๆโดนศาลยึดไว้หมด จากคนที่มีอำนาจไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว
"พลอยๆ รู้ข่าวหรือยัง"
"อะไรคะพี่เมย์"
เมย์วิ่งหน้าตื่นมาแต่เช้า พลอยกำลังนั่งเคลียร์เอกสารค้างอยู่บนโต๊ะ
"ก็เจ๊น้อยไง ฆ่าตัวตายแล้วนะพลอย"
"ตายแล้ว จริงเหรอคะพี่เมย์"
พลอยร้องออกมาหน้าซีด
"พี่ก็ตกใจ เนี่ยคนในบริษัทตกใจกันทุกคน พอทางบ้านประกันตัวออกมาแกคงเครียดน่ะ"
เมย์เองก็สีหน้าไม่ต่างจากพลอยเลย
"แกยิงตัวตายเมื่อตอนใกล้รุ่นนี่เองพลอย"
"เวรกรรมแท้ๆ อย่าจองเวรจองกรรมกันเลยนะคะพี่น้อย"
"เฮ้อนะคนเรา ทำไมถึงได้คิดกันตื้นจริงนะ ตอนทำไม่คิดเลยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง เห็นบอกลูกชายก็ลาออกจากโรงเรียนเลยนะ"
"ตายจริง บาปกรรมแท้ๆ"
"คงทนสภาพไม่ไหว สามีเจ๊แกก็ทำงานอยู่ธนาคาร คงพอเป็นที่พึ่งได้บ้างล่ะ"
เมย์นั่งลงข้างหน้าพลอยระบายออกมา
"แต่เท่าที่รู้เรายึดทรัพย์สินหมดเลยไม่ใช่เหรอคะพี่เมย์ แล้วเขาจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้"
"เอาน่าพลอย มันเป็นผลกรรม เห็นไหมไม่ใช่ตัวเองคนเดียวนะที่รับกรรม แต่คนในครอบครัวก็ต้องมาพลอยรับกรรมไปด้วย น่าเห็นใจนะ แต่ทำยังไงได้"
เมย์ฉายแววตาสงสารออกมา
"คนที่อยากให้ทำแบบนี้ทำไมมันไม่ทำนะ"
"บ้าเหรอพี่เมย์ไม่ดีนะคะ อย่าไปคิดแบบนี้เลย น่าสงสารเค้าออก"
พลอยรู้ว่าเมย์หมายถึงใคร ร้องปรามเอาไว้
"พี่ล้อเล่นหรอกพลอย พี่ก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้น เออจะบอกให้บอสรู้ไหม"
"ยังหรอกค่ะ บอสไปพักรักษาตัว ไม่อยากให้มีเรื่องไปกระทบ ภูมิยิ่งเป็นคนขี้สงสารคนอยู่ด้วย กลับมาค่อยบอกดีกว่าค่ะ"
"อืมพี่เห็นด้วย มาวันนี้ว่างพี่สอนงานเลขาฯให้"
เมย์บอกแล้วรื้อเอาเอกสารหน้าโต๊ะมาเปิดดู พลอยเองก็รู้สึกท้อแท้ในใจไม่น้อยไปกว่าเมย์หรือใครที่ได้ยิน ถึงกับต้องปลิดชีพตัวเองเลยหรือ มันหนักหนามากรู้ดี แต่ทุกอย่างมันก็งอกเงยขึ้นจากน้ำมือของตัวเขาเอง ทำไมหนีปัญหาแบบนี้นะ แล้วคนที่อยู่ข้างหลังล่ะพวกเขาจะทำยังไงต่อไป พลอยครุ่นคิดอยู่ทั้งวัน พอตอนเลิกงานก็เดินออกมารอรถที่หน้าบริษัท เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะอายุไม่เกินสิบแปดปียืนน้ำตาไหลอยู่ระหว่างทางไปป้ายรถเมล์
"น้องคะ เป็นอะไรคะทำไมมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้"
พลอยเดินไปใกล้ถามขึ้นด้วยความห่วงใย
"พี่ทำงานอยู่บริษัทนี้เหรอ"
เขาถามขึ้นดวงตาแดงช้ำคงร้องไห้มามากพอสมควร
"ใช่จ๊ะ มีอะไรเหรอหนู"
"ใจร้าย ทำไมคนในบริษัทนี้ใจร้าย"
"หือ อะไรกันจ๊ะ ใครทำอะไรหนู"
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นแต่เหมือนเด็กที่เพิ่งจะสูญเสียคนที่รัก หรือหลงทาง หรือว่า
"บริษัทนี้ฆ่าแม่ผม ผมเกลียดบริษัทนี้"
เขาตะโกนออกมา สายตากร้าว พลอยสะท้อนเข้าไปถึงใจ
"น้อง"
พลอยอุทานออกมาหัวใจหลุดลอยไป
"ทำไม ฆ่าแม่ผมทำไม แล้วผมกับพ่อจะอยู่ยังไง ทำไม ทำไม"
เขาร้องออกมาสายตาที่มีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา ทำให้ใจของพลอยอ่อนไหวร้าวราน
"มาคุยกับพี่ตรงนี้ก่อนไหมคะน้อง พี่เข้าใจเรานะ ทำใจดีๆไว้นะคะ"
พลอยจูงมือเขาจะพาไปนั่งตรงม้านั่งหน้าบริษัท แต่เขาสะบัดมือออก
"อย่ามายุ่งกับผม คนใจร้าย พวกไม่มีหัวใจ"
เขาตวาดเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง
"น้องคะ ฟังนะคะ พี่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่เข้าใจ แต่เราจะมีตีโพยตีพายแบบนี้ไม่ได้นะคะ"
พลอยเหลืออด พยายามควบคุมอารมณ์แต่ในเมื่อคนมันเข้าใจไปอีกทาง ประโยชน์อะไรที่จะมายืนเศร้าใจหรือเห็นใจเขา
"แล้วรู้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแม่ของเราถึงต้องทำแบบนั้น รู้บ้างไหม แล้วเคยรู้ไหมว่าแม่เราเขาทำอะไรไว้กับบริษัทนี้ บ้านที่เราอยู่ รถที่พ่อแม่เราขับน่ะ มันมาจากไหน เคยรู้บ้างไหมคะ"
พลอยตวาดเช่นกัน เขาสะดุ้งน้ำตาหยุดไหลมองหน้าพลอยอย่างเคียดแค้น
"ถ้าแม่เราไม่โกงบริษัท เรื่องอะไรที่บริษัทจะต้องยึดทรัพย์สินของแม่เรา บริษัทนี้เลี้ยงคนดีไม่เคยให้ต้องลำบาก แต่แม่เราไม่รู้จักพอเอง จะมาโทษกันแบบนี้ไม่ได้นะ ก่อนโกงน่ะคิดบ้างไหมว่าเรื่องมันจะจบยังไง หา เคยคิดบ้างไหม"
พลอยตวาดเสียงดังลั่นเช่นกัน ความสงสารที่มีมันหายไปเพราะความโกรธ เข้าใจและรู้ดีว่าคนที่เพิ่งจะสูญเสียมารดาไปเป็นเช่นไร แต่เขาคงขาดสติ
"พี่อย่ามาว่าแม่ผมนะ แม่ผมไม่ได้โกง อย่ามาใส่ร้ายแม่ผมนะ"
เขาเองก็ตวาดขึ้นเสียงสั่น
"น้องคะ ฟังพี่นะ ทางเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้หรอกนะคะ แต่น้องก็ต้องเข้าใจด้วย แล้วที่แม่เราจ้างคนไปทำร้ายเจ้าของบริษัทนี่รู้เรื่องไหมคะ โกรธเกลียดกันอะไรขนาดนั้นถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเลยเหรอ น้องจะโกรธพี่ก็เข้าใจ แต่ถ้าแม่เราเข้มแข็งสักหน่อยสู้กับปัญหา พี่ว่าเรื่องมันคงไม่เลวร้ายอย่างนี้หรอก"
"ไม่ต้องมาพูด ผมเกลียดทุกคนในบริษัทนี้ คอยดูนะผมจะมาเอาคืน"
เขาพูดแล้วทำท่าจะวิ่งหนีไป
"เดี๋ยว ใครสั่งใครสอนให้เจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้ หา ถ้าเรามีสติพี่ยังจะพอช่วยพูดกับเจ้าของบริษัทให้ปรานีบ้าง แต่นี่อะไร จะมาทำอะไรเค้า"
พลอยแว้ดเสียงอันดังขึ้นเขาหยุดกึกลงกำหมัดแน่น
"นี่เบอร์พี่ อย่าคิดเองเออเอง เราเพิ่งจะอายุแค่นี้อย่าไปหัดคิดเรื่องแบบนั้นมันไม่ดี มีอะไรก็โทรมาหาพี่ เดี๋ยวพี่ช่วยพูดกับบอสให้"
พลอยอ่อนเสียงลงดึงแขนเขาไว้ เขาหันหน้ามามองหน้าพลอยสายตายังชิงชังอยู่มาก แต่พลอยเองก็ไม่ได้สะทกสะท้าน
"ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ถ้าหากใจเรามีบางอย่างที่ครอบงำอยู่ เรื่องเล็กๆน้อยๆหรือรายละเอียดอื่นใดเรามักจะมองไม่เห็นหรอกค่ะน้อง โทรหาพี่ถ้าเราต้องการความช่วยเหลือ พี่ยินดี พี่ไม่ใช่คนใจร้าย พี่เห็นใจและเข้าใจเรามากที่สุด"
พลอยพูดเสียงหนักแน่นยัดนามบัตรใส่มือให้เขา แล้วดันหลังให้เขากลับไป เขายืนนิ่งอยู่นานกำนามบัตรจนยับยู่ยี่ในมือพอได้สติก็วิ่งหนีไป พลอยเองก็สั่นไปทั้งใจไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าปัญหามันจะไม่ได้จบลงไปเหมือนอย่างที่ใจคิด มนุษย์เราล้วนแล้วแต่มีญาติมีเชื้อ มีคนที่รักมีคนที่เกลียด คนที่รักเราเขาคงไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้จบลงอย่างง่ายดายเช่นกัน พลอยถอนหายใจออกมา
"พลอยๆ กลับบ้านเหรอครับ มาเดี๋ยวพี่ไปส่ง"
เสียงเดิมที่คุ้นเคยดังขึ้นตรงป้ายรถเมล์ กายบีบแตรรถแล้วเปิดกระจกรถออกมา พลอยยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง กายเองก็คิดว่าวันนี้ต้องตามพลอยยังไงดีเพราะคงไม่ยอมง่ายๆเช่นเคย แต่พลอยก้าวลงจากฟุตบาทเดินไปเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างๆกาย รายนั้นถึงกับอึ้งพูดไม่ออก สะดุ้งอีกทีเมื่อมีเสียงบีบแตรรถไล่ให้ขยับรถจึงเคลื่อนรถออกไป
"วันนี้มาแปลกแฮะ ไม่สบายหรือเปล่าพลอย"
กายถามเพราะเห็นท่าทีที่แปลกไปของอีกคน พลอยสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย แม้จะตวาดเด็กคนนั้นไปแต่ในใจก็เศร้าหมองอยู่มาก
"พี่คะ พี่เคยลำบากใจอะไรไหมคะ"
สิ่งที่พลอยเอ่ยออกมาทำให้กายนิ่งเงียบไป
"หือ มีอะไรหรือเปล่าพลอย เราแปลกๆไปนะวันนี้"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รบกวนพี่ส่งหนูลงตรงแยกพระรามเก้าทีนะคะ"
พลอยพูดขึ้นสายตาเหม่อลอย
"ทำไมล่ะพลอยนัดเพื่อนไว้เหรอ"
"เปล่าค่ะ พลอยอยากจะไปไหว้พระ"
"อืม เคยสิครับพลอย พี่เองก็ต้องดูแลกิจการให้กับทางบ้านนะ เรื่องงานใช่ไหม"
กายพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดขึ้นเสียงขรึม
"เรื่องเกิดจากคนๆเดียวแท้ๆ แต่ทำไมมันลุกลามไปหาคนใกล้ตัวเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนะคะ น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี"
พลอยเสียงเครือไปด้วยน้ำตา กระพริบตาถี่จนกายสังเกตุเห็นได้
"งั้นพี่พาเราไปนั่งฟังเพลงก่อนดีกว่านะ จะได้สบายใจ"
กายบอกแล้วมองตรงไปยังถนน ส่วนพลอยนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สายตาที่มองออกไปนอกกระจกมันร้าวราน ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อน ตอนที่นิตาเสียชีวิต เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน เพราะไม่ได้คลุกคลีหรือรักใคร่อะไรกับนิตา อีกอย่างไม่ได้เจอด้วยตัวเอง คนที่ตายไปแล้วเขาไม่รับรู้หรอกว่าเราลำบากใจหรือทุกข์ใจแค่ไหน แต่สายตาของเด็กชายเมื่อครู่มันบาดลึกลงไปในหัวใจ สายตาที่หมดที่พึ่ง สายตาที่ไม่เหลืออะไรในชีวิต มันบาดลึกลงไปในใจ เจ็บเหลือเกิน
กายพาพลอยไปนั่งที่ร้านเลียบทางด่วนรามอินทราเป็นร้านเล็กๆกึ่งผับ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก พลอยนั่งลงสายตายังเหม่อลอยอยู่
"พี่ก็เคยมีเรื่องไม่สบายใจนะพลอย ตอนพี่ทำงานใหม่ๆ ปัญหาที่ไม่เคยเจอ เรื่องที่ไม่เหมือนตอนที่เรียน อยากหนีไปให้ไกลแต่ก็ทำแบบตอนเรียนอีกไม่ได้แล้ว มันเป็นความรับผิดชอบของเรา พี่ก็สู้กับมันมา บางทีคนก็มองว่าดูใจร้ายนะ แต่ทำยังไงได้ ถ้าเราไม่ทำเขา เขาเองนั่นล่ะที่จะทำร้ายเรา"
กายพูดออกมา พลอยเม้มปากหนัก
"ทำไมคนเราไม่รู้จักพอกันนะคะ ถ้ารู้จักพอเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด ถ้ารู้จักยับยั้งใจบ้าง คนในครอบครัวก็คงไม่ต้องมาลำบาก"
พลอยครางออกมาน้ำตาเริ่มเอ่อ ปกติแล้วเะอเป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เห็นเหตุการณ์ที่เจอ มันบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน
"เพราะคนเราไม่มีคำว่าพอไงครับ ทุกอย่างนั่นล่ะ ถ้ารู้จักพอป่านนี้บ้านเมืองเราก็ไม่เจริญหรอกจริงไหม ถ้าจะมองให้มันเป็นแง่ดี แต่การไม่รู้จักพอมากๆเข้าบางทีมันก็ทำร้ายตัวเราเอง อย่าคิดมากนะครับ เราทำถูกแล้วล่ะพี่ว่า"
"หนูไม่อยากเห็นใครต้องมาเสียใจเลย เด็กคนนั้นเขาจะอยู่ยังไงถ้าไม่เหลืออะไร เขาจะได้เรียนต่อไหม ใครจะส่งเสีย หนูเสียใจนะ"
พลอยร้องไห้ออกมา กายอึ้งไปรีบปรี่เข้าไปหา
"ไม่ต้องมากอดหนู หนูไม่ได้นางเอกขนาดนั้น"
พลอยพูดออกมากายหน้าเหวอไป เพราะคิดว่าจะอาศัยโอกาสนี้รุกทำคะแนนแต่สำหรับผู้หญิงตรงหน้าคงยาก กายแอบอมยิ้มออกมา
อากาศยามบ่ายในตัวเมืองเชียงใหม่ไม่ร้อนมากนัก มีลมเอื่อยๆพัดผ่านมาให้คลายความร้อนได้บ้าง ภูมิบุญนั่งอยู่ระเบียงหน้าห้องพัก มองภูเขาเบื้องหน้าที่เขียวครึ้ม หมอกบางๆขมุกขมัวอยู่แม้บ่ายคล้อยแล้ว ปลายเดือนคุลาคมเช่นนี้อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงเหมาะแก่การมาพักผ่อนเสียจริง
"ภูมิ ล้างแผลให้พี่หน่อยสิ มันคันๆอ่ะ"
โตโต้เดินถือกล่องยาเข้ามา ปลุกภูมิบุญให้ตื่นจากภวังค์ เขาเหลือบหันไปมองร่างโตที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
"พี่สั่งอาหารไปนะเดี๋ยวก็คงมา หิวยังเรา"
"นิดหน่อยครับ มันคันแสดงว่ามันเริ่มจะแห้งแล้วสิครับ"
ภูมิบุญพูดแล้วลุกขึ้นไปจัดแจงที่นั่งเตรียมจะล้างแผลให้เขา
"อากาศดีเนอะ จะนอนให้ฉ่ำปอดไปเลย"
"ครับ ยังเจ็บอยู่ไหมครับคุณโตโต้"
โตโต้ส่ายหน้ายิ้มให้ ภูมิบุญจับจ้องอยู่ที่ต้นแขนซ้าย ค่อยๆแกะเอาผ้าพันแผลออก
"ยังไม่แห้งเลยนี่ครับ"
ปากก็พูดไปเรื่อยกับสิ่งที่เห็น ส่วนโตโต้ยิ้มอย่างพอใจ
"พี่ไม่อยากให้มันหายหรอก"
"ทำไมล่ะครับ อยากให้มันเน่าเหรอ จะได้ตัดแขนทิ้ง"
"ถ้าหายแล้วภูมิก็ไม่ได้ล้างแผลให้พี่สิ ไม่เอาหรอก"
โตโต้พูดออกมา ภูมิบุญนิ่งไป ไม่น่าเริ่มประเด็นเลย ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก
"ผมขอตัวไปข้างล่างหน่อยนะครับ"
พอล้างแผลเสร็จก็พันผ้าให้โตโต้
"จะไปไหนล่ะ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว"
"ผมจะไปเดินเล่น อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้"
"งั้นพี่ไปด้วย"
"อย่าเลยครับ แผลยังไม่หายดี"
"เดินเล่นใช้เท้านี่ภูมิ พี่เจ็บแขนนะไม่ได้เจ็บเท้า"
สูดลมหายใจเข้าลึกกักไว้ในปอด
"พี่ก็เซ็งๆเหมือนกัน นอนทั้งวันเพลีย"
โตโต้พูดออกมาแล้วลุกขึ้นทำท่าเตรียมพร้อม ภูมิบุญแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมาอีกครั้ง
"พี่รู้นะภูมิว่าเราลำบากใจที่มาอยู่กับพี่สองคนแบบนี้ แต่พี่ขอสักวันไม่ได้เหรอภูมิ ทำดีกับพี่หน่อย พี่แค่ต้องการกำลังใจ"
น้ำเสียงที่ขรึมเย็นจนภูมิบุญสะท้านไปกลางใจ มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ นี่เขาเป็นอะไรไป นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น
"คุณโตโต้"
ได้แต่ร้องออกไป โตโต้จ้องมองใบหน้าของภูมิบุญแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน ภูมิบุญหลบสายตา ในใจเริ่มร้อนรน นี่เขาจะทำยังไงดี ให้เหตุการณ์นี้มันลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่อยากให้ความหวัง ไม่อยากให้เขาคิดแม้แต่น้อย มันมากเกินไปแล้ว มันหนักหนาเกินที่ใจจะแบกรับเรื่องราวไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์เหล่านี้ ไม่คิด ไม่คิด ภูมิบุญบอกกับตัวเอง
"งั้นไปเดินเล่นกันครับ ไหวนะคุณโตโต้"
ภูมิบุญพูดออกมาพยายามทำตัวให้ยิ้มแย้มแจ่มใส เพรารู้สึกสะท้อนใจมากเช่นกันกับคำพูดและท่าทางของเขา นี่แสดงสีหน้าท่าทางออกไปมากขนาดนั้นเชียวหรือ ภูมิบุญคิดอยู่ในใจ
"ไปเดินดูของที่ตลาดดีไหม มีตลาดคนเดินด้วยนี่"
"คนเยอะนะครับ ไม่กลัวคนเขาจะมาเดินชนแขนเอาเหรอ ไปเดินริมน้ำปิงดีกว่าครับ ผมไม่ได้อยากจะซื้ออะไร"
ภูมิบุญบอกแล้วเดินออกจากห้องไป โตโต้เดินตามไปติดๆ โตโต้พยายามจะใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาที่มีจังหวะและโอกาส ไม่ว่าจะแตะเนื้อตัว ตอนแรกภูมิบุญก็พยายามจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ แต่พอเขาตื้อมากขึ้นก็รำคาญขี้เกียจขัดขืนอีก โตโต้จึงได้ใจ
"ยังคิดถึงมันอยู่เหรอไอ้แทนน่ะ"
อยู่ดีๆก็โพล่งขึ้นมา ภูมิบุญกำลังเหม่อมองลำน้ำปิงยามอาทิตย์อัสดง สายน้ำสีขุ่นๆสะท้อนกับแสงแดดงดงามยิ่งนัก สะดุ้งหมดอารมณ์ที่จะดูทันที
"ทำไมเหรอครับ"
"มันมีคนใหม่แล้วป่านนี้ เป็นอย่างเราน่ะไม่มีอะไรผูกมัดกันไว้ ลำพังเชื่อใจกันอย่างเดียวไม่เหลือหรอก เชื่อพี่ดิ"
"แล้วทำไมครับ"
พูดเสียงเขียวจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
"ทีหญิงชายอย่างคุณโตโต้ยังไปไม่รอดเลย แล้วหญิงกับชายมันมีอะไรล่ะครับที่ผูกที่มัดกันไว้ คนเราหากไม่เชื่อใจกันไม่มีใจให้กัน เพศไหน รศนิยมแบบไหน ต่อให้ผูกมัดตรึงกันด้วยเชือก มันก็ไม่อยู่หรอก จริงไหมครับ"
"ฮ่าๆ เอาจริงเอาจังเชียวนะ พูดถึงชื่อมันไม่ได้เลยนะภูมิ รักมันมากขนาดนั้นเลยเหรอ"
"กลับเถอะครับ ผมหิวแล้ว"
ภูมิบุญตัดบทเดินหนีไป ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้
"หึหึ สักวันเถอะภูมิ คนที่ภูมิจะต้องรกจนหมดใจคือพี่ พี่คนเดียว"
โตโต้หัวเราะไล่หลังมา ไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนความคิดจากเกลียดเป็นแบบนี้ไปได้ รักหรือ? ก็ไม่ เขาแค่อยากจะเอาชนะคนถือดีอย่างภูมิบุญเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าคนที่ใจแข็งอย่างเขาเวลารักใครหมดใจ มันจะเป็นเหมือนรักแทนทวีไหม แค่นั้นเอง
"คิดอะไรอยู่ภูมิ ตาลอยเชียว"
เสียงทุ้มเข้มทำให้ภูมิบุญสะดุ้งตื่นจากภวังค์
"เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ผมคิดเรื่อยเปื่อย"
"เหรอ ตาลอยเชียวนะ มากับพี่นี่ลำบากใจมากขนาดนี้เลยเหรอภูมิ"
อยากตอบออกไปว่า "ใช่" แต่ก็นิ่งเงียบเสีย ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ได้ยิน
"แต่พี่ไม่สนหรอกนะ ฮ่าๆๆ มีเรามาด้วยก็พอแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน"
โตโต้พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี ภูมิบุญเม้มปากหนัก หันหน้าออกนอกกระจกรถอีก เอาเถอะยังไงๆก็ต้องอยู่กับเขาอีกนาน ยิ่งต่อล้อต่อเถียงเขายิ่งได้ใจ ภูมิบุญคิด พอถึงสนามบินก็รีบเข้าไปเช็คอินขึ้นเครื่องเพราะมาทันเวลาพอดี เสียงเครื่องยนต์ที่กำลังจะพาเครื่องขึ้นสู่น่านฟ้าดังกึกก้อง ภูมิบุญเม้มปากหลับตา ไม่ได้กลัวเสียงนี้ แต่มันบีบหัวใจเหลือเกิน มันเหมือนเสียงของคนที่พรากคนรักไปจากเขา มันเหมือนเสียงสัญญาณของความโหดร้าย เสียงที่ดังเสียดแทงเข้าไปกลางใจ ไม่อยากจะได้ยิน
"กลัวเหรอภูมิ"
คนตัวใหญ้โน้มใบหน้าที่มีเคราเขียวครึ้มเข้ามาใกล้ มือหนาก็เอื้อมมากุมมือของภูมิบุญไว้ ภูมิบุญจะชักมือออกแต่โตโต้ก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
"อย่าดึงแขนพี่แรงสิภูมิ มันยังเจ็บอยู่นะ"
"ก็ปล่อยสิครับ อึดอัด"
"พี่ชอบนี่ ทริปนี้ตามใจพี่นะ หึหึ"
หัวเราะออกมาภูมิบุญหันมามองตาเขียว แต่โตโต้กลับยิ้มอย่างพึงใจ
การยึดทรัพย์สินของผู้ที่มีรายชื่อโกงบริษัทกระทำในทันทีที่มีหมายศาลออกมา ทรัพย์สินส่วนใหญ่โดนยึดกรรมสิทธิ์เอาไว้โดยไม่ให้ใครแตะต้อง น้อยดูเหมือนจะโดนหนักกว่าใครเพราะเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งคดีอาญาจ้างวานฆ่า และคดโกงบริษัท ทั้งบ้านทั้งรถ ทรพย์สินต่างๆโดนศาลยึดไว้หมด จากคนที่มีอำนาจไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว
"พลอยๆ รู้ข่าวหรือยัง"
"อะไรคะพี่เมย์"
เมย์วิ่งหน้าตื่นมาแต่เช้า พลอยกำลังนั่งเคลียร์เอกสารค้างอยู่บนโต๊ะ
"ก็เจ๊น้อยไง ฆ่าตัวตายแล้วนะพลอย"
"ตายแล้ว จริงเหรอคะพี่เมย์"
พลอยร้องออกมาหน้าซีด
"พี่ก็ตกใจ เนี่ยคนในบริษัทตกใจกันทุกคน พอทางบ้านประกันตัวออกมาแกคงเครียดน่ะ"
เมย์เองก็สีหน้าไม่ต่างจากพลอยเลย
"แกยิงตัวตายเมื่อตอนใกล้รุ่นนี่เองพลอย"
"เวรกรรมแท้ๆ อย่าจองเวรจองกรรมกันเลยนะคะพี่น้อย"
"เฮ้อนะคนเรา ทำไมถึงได้คิดกันตื้นจริงนะ ตอนทำไม่คิดเลยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง เห็นบอกลูกชายก็ลาออกจากโรงเรียนเลยนะ"
"ตายจริง บาปกรรมแท้ๆ"
"คงทนสภาพไม่ไหว สามีเจ๊แกก็ทำงานอยู่ธนาคาร คงพอเป็นที่พึ่งได้บ้างล่ะ"
เมย์นั่งลงข้างหน้าพลอยระบายออกมา
"แต่เท่าที่รู้เรายึดทรัพย์สินหมดเลยไม่ใช่เหรอคะพี่เมย์ แล้วเขาจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้"
"เอาน่าพลอย มันเป็นผลกรรม เห็นไหมไม่ใช่ตัวเองคนเดียวนะที่รับกรรม แต่คนในครอบครัวก็ต้องมาพลอยรับกรรมไปด้วย น่าเห็นใจนะ แต่ทำยังไงได้"
เมย์ฉายแววตาสงสารออกมา
"คนที่อยากให้ทำแบบนี้ทำไมมันไม่ทำนะ"
"บ้าเหรอพี่เมย์ไม่ดีนะคะ อย่าไปคิดแบบนี้เลย น่าสงสารเค้าออก"
พลอยรู้ว่าเมย์หมายถึงใคร ร้องปรามเอาไว้
"พี่ล้อเล่นหรอกพลอย พี่ก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้น เออจะบอกให้บอสรู้ไหม"
"ยังหรอกค่ะ บอสไปพักรักษาตัว ไม่อยากให้มีเรื่องไปกระทบ ภูมิยิ่งเป็นคนขี้สงสารคนอยู่ด้วย กลับมาค่อยบอกดีกว่าค่ะ"
"อืมพี่เห็นด้วย มาวันนี้ว่างพี่สอนงานเลขาฯให้"
เมย์บอกแล้วรื้อเอาเอกสารหน้าโต๊ะมาเปิดดู พลอยเองก็รู้สึกท้อแท้ในใจไม่น้อยไปกว่าเมย์หรือใครที่ได้ยิน ถึงกับต้องปลิดชีพตัวเองเลยหรือ มันหนักหนามากรู้ดี แต่ทุกอย่างมันก็งอกเงยขึ้นจากน้ำมือของตัวเขาเอง ทำไมหนีปัญหาแบบนี้นะ แล้วคนที่อยู่ข้างหลังล่ะพวกเขาจะทำยังไงต่อไป พลอยครุ่นคิดอยู่ทั้งวัน พอตอนเลิกงานก็เดินออกมารอรถที่หน้าบริษัท เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะอายุไม่เกินสิบแปดปียืนน้ำตาไหลอยู่ระหว่างทางไปป้ายรถเมล์
"น้องคะ เป็นอะไรคะทำไมมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้"
พลอยเดินไปใกล้ถามขึ้นด้วยความห่วงใย
"พี่ทำงานอยู่บริษัทนี้เหรอ"
เขาถามขึ้นดวงตาแดงช้ำคงร้องไห้มามากพอสมควร
"ใช่จ๊ะ มีอะไรเหรอหนู"
"ใจร้าย ทำไมคนในบริษัทนี้ใจร้าย"
"หือ อะไรกันจ๊ะ ใครทำอะไรหนู"
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นแต่เหมือนเด็กที่เพิ่งจะสูญเสียคนที่รัก หรือหลงทาง หรือว่า
"บริษัทนี้ฆ่าแม่ผม ผมเกลียดบริษัทนี้"
เขาตะโกนออกมา สายตากร้าว พลอยสะท้อนเข้าไปถึงใจ
"น้อง"
พลอยอุทานออกมาหัวใจหลุดลอยไป
"ทำไม ฆ่าแม่ผมทำไม แล้วผมกับพ่อจะอยู่ยังไง ทำไม ทำไม"
เขาร้องออกมาสายตาที่มีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา ทำให้ใจของพลอยอ่อนไหวร้าวราน
"มาคุยกับพี่ตรงนี้ก่อนไหมคะน้อง พี่เข้าใจเรานะ ทำใจดีๆไว้นะคะ"
พลอยจูงมือเขาจะพาไปนั่งตรงม้านั่งหน้าบริษัท แต่เขาสะบัดมือออก
"อย่ามายุ่งกับผม คนใจร้าย พวกไม่มีหัวใจ"
เขาตวาดเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง
"น้องคะ ฟังนะคะ พี่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่เข้าใจ แต่เราจะมีตีโพยตีพายแบบนี้ไม่ได้นะคะ"
พลอยเหลืออด พยายามควบคุมอารมณ์แต่ในเมื่อคนมันเข้าใจไปอีกทาง ประโยชน์อะไรที่จะมายืนเศร้าใจหรือเห็นใจเขา
"แล้วรู้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแม่ของเราถึงต้องทำแบบนั้น รู้บ้างไหม แล้วเคยรู้ไหมว่าแม่เราเขาทำอะไรไว้กับบริษัทนี้ บ้านที่เราอยู่ รถที่พ่อแม่เราขับน่ะ มันมาจากไหน เคยรู้บ้างไหมคะ"
พลอยตวาดเช่นกัน เขาสะดุ้งน้ำตาหยุดไหลมองหน้าพลอยอย่างเคียดแค้น
"ถ้าแม่เราไม่โกงบริษัท เรื่องอะไรที่บริษัทจะต้องยึดทรัพย์สินของแม่เรา บริษัทนี้เลี้ยงคนดีไม่เคยให้ต้องลำบาก แต่แม่เราไม่รู้จักพอเอง จะมาโทษกันแบบนี้ไม่ได้นะ ก่อนโกงน่ะคิดบ้างไหมว่าเรื่องมันจะจบยังไง หา เคยคิดบ้างไหม"
พลอยตวาดเสียงดังลั่นเช่นกัน ความสงสารที่มีมันหายไปเพราะความโกรธ เข้าใจและรู้ดีว่าคนที่เพิ่งจะสูญเสียมารดาไปเป็นเช่นไร แต่เขาคงขาดสติ
"พี่อย่ามาว่าแม่ผมนะ แม่ผมไม่ได้โกง อย่ามาใส่ร้ายแม่ผมนะ"
เขาเองก็ตวาดขึ้นเสียงสั่น
"น้องคะ ฟังพี่นะ ทางเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้หรอกนะคะ แต่น้องก็ต้องเข้าใจด้วย แล้วที่แม่เราจ้างคนไปทำร้ายเจ้าของบริษัทนี่รู้เรื่องไหมคะ โกรธเกลียดกันอะไรขนาดนั้นถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเลยเหรอ น้องจะโกรธพี่ก็เข้าใจ แต่ถ้าแม่เราเข้มแข็งสักหน่อยสู้กับปัญหา พี่ว่าเรื่องมันคงไม่เลวร้ายอย่างนี้หรอก"
"ไม่ต้องมาพูด ผมเกลียดทุกคนในบริษัทนี้ คอยดูนะผมจะมาเอาคืน"
เขาพูดแล้วทำท่าจะวิ่งหนีไป
"เดี๋ยว ใครสั่งใครสอนให้เจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้ หา ถ้าเรามีสติพี่ยังจะพอช่วยพูดกับเจ้าของบริษัทให้ปรานีบ้าง แต่นี่อะไร จะมาทำอะไรเค้า"
พลอยแว้ดเสียงอันดังขึ้นเขาหยุดกึกลงกำหมัดแน่น
"นี่เบอร์พี่ อย่าคิดเองเออเอง เราเพิ่งจะอายุแค่นี้อย่าไปหัดคิดเรื่องแบบนั้นมันไม่ดี มีอะไรก็โทรมาหาพี่ เดี๋ยวพี่ช่วยพูดกับบอสให้"
พลอยอ่อนเสียงลงดึงแขนเขาไว้ เขาหันหน้ามามองหน้าพลอยสายตายังชิงชังอยู่มาก แต่พลอยเองก็ไม่ได้สะทกสะท้าน
"ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ถ้าหากใจเรามีบางอย่างที่ครอบงำอยู่ เรื่องเล็กๆน้อยๆหรือรายละเอียดอื่นใดเรามักจะมองไม่เห็นหรอกค่ะน้อง โทรหาพี่ถ้าเราต้องการความช่วยเหลือ พี่ยินดี พี่ไม่ใช่คนใจร้าย พี่เห็นใจและเข้าใจเรามากที่สุด"
พลอยพูดเสียงหนักแน่นยัดนามบัตรใส่มือให้เขา แล้วดันหลังให้เขากลับไป เขายืนนิ่งอยู่นานกำนามบัตรจนยับยู่ยี่ในมือพอได้สติก็วิ่งหนีไป พลอยเองก็สั่นไปทั้งใจไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าปัญหามันจะไม่ได้จบลงไปเหมือนอย่างที่ใจคิด มนุษย์เราล้วนแล้วแต่มีญาติมีเชื้อ มีคนที่รักมีคนที่เกลียด คนที่รักเราเขาคงไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้จบลงอย่างง่ายดายเช่นกัน พลอยถอนหายใจออกมา
"พลอยๆ กลับบ้านเหรอครับ มาเดี๋ยวพี่ไปส่ง"
เสียงเดิมที่คุ้นเคยดังขึ้นตรงป้ายรถเมล์ กายบีบแตรรถแล้วเปิดกระจกรถออกมา พลอยยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง กายเองก็คิดว่าวันนี้ต้องตามพลอยยังไงดีเพราะคงไม่ยอมง่ายๆเช่นเคย แต่พลอยก้าวลงจากฟุตบาทเดินไปเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างๆกาย รายนั้นถึงกับอึ้งพูดไม่ออก สะดุ้งอีกทีเมื่อมีเสียงบีบแตรรถไล่ให้ขยับรถจึงเคลื่อนรถออกไป
"วันนี้มาแปลกแฮะ ไม่สบายหรือเปล่าพลอย"
กายถามเพราะเห็นท่าทีที่แปลกไปของอีกคน พลอยสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย แม้จะตวาดเด็กคนนั้นไปแต่ในใจก็เศร้าหมองอยู่มาก
"พี่คะ พี่เคยลำบากใจอะไรไหมคะ"
สิ่งที่พลอยเอ่ยออกมาทำให้กายนิ่งเงียบไป
"หือ มีอะไรหรือเปล่าพลอย เราแปลกๆไปนะวันนี้"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รบกวนพี่ส่งหนูลงตรงแยกพระรามเก้าทีนะคะ"
พลอยพูดขึ้นสายตาเหม่อลอย
"ทำไมล่ะพลอยนัดเพื่อนไว้เหรอ"
"เปล่าค่ะ พลอยอยากจะไปไหว้พระ"
"อืม เคยสิครับพลอย พี่เองก็ต้องดูแลกิจการให้กับทางบ้านนะ เรื่องงานใช่ไหม"
กายพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดขึ้นเสียงขรึม
"เรื่องเกิดจากคนๆเดียวแท้ๆ แต่ทำไมมันลุกลามไปหาคนใกล้ตัวเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนะคะ น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี"
พลอยเสียงเครือไปด้วยน้ำตา กระพริบตาถี่จนกายสังเกตุเห็นได้
"งั้นพี่พาเราไปนั่งฟังเพลงก่อนดีกว่านะ จะได้สบายใจ"
กายบอกแล้วมองตรงไปยังถนน ส่วนพลอยนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สายตาที่มองออกไปนอกกระจกมันร้าวราน ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อน ตอนที่นิตาเสียชีวิต เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน เพราะไม่ได้คลุกคลีหรือรักใคร่อะไรกับนิตา อีกอย่างไม่ได้เจอด้วยตัวเอง คนที่ตายไปแล้วเขาไม่รับรู้หรอกว่าเราลำบากใจหรือทุกข์ใจแค่ไหน แต่สายตาของเด็กชายเมื่อครู่มันบาดลึกลงไปในหัวใจ สายตาที่หมดที่พึ่ง สายตาที่ไม่เหลืออะไรในชีวิต มันบาดลึกลงไปในใจ เจ็บเหลือเกิน
กายพาพลอยไปนั่งที่ร้านเลียบทางด่วนรามอินทราเป็นร้านเล็กๆกึ่งผับ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก พลอยนั่งลงสายตายังเหม่อลอยอยู่
"พี่ก็เคยมีเรื่องไม่สบายใจนะพลอย ตอนพี่ทำงานใหม่ๆ ปัญหาที่ไม่เคยเจอ เรื่องที่ไม่เหมือนตอนที่เรียน อยากหนีไปให้ไกลแต่ก็ทำแบบตอนเรียนอีกไม่ได้แล้ว มันเป็นความรับผิดชอบของเรา พี่ก็สู้กับมันมา บางทีคนก็มองว่าดูใจร้ายนะ แต่ทำยังไงได้ ถ้าเราไม่ทำเขา เขาเองนั่นล่ะที่จะทำร้ายเรา"
กายพูดออกมา พลอยเม้มปากหนัก
"ทำไมคนเราไม่รู้จักพอกันนะคะ ถ้ารู้จักพอเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด ถ้ารู้จักยับยั้งใจบ้าง คนในครอบครัวก็คงไม่ต้องมาลำบาก"
พลอยครางออกมาน้ำตาเริ่มเอ่อ ปกติแล้วเะอเป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เห็นเหตุการณ์ที่เจอ มันบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน
"เพราะคนเราไม่มีคำว่าพอไงครับ ทุกอย่างนั่นล่ะ ถ้ารู้จักพอป่านนี้บ้านเมืองเราก็ไม่เจริญหรอกจริงไหม ถ้าจะมองให้มันเป็นแง่ดี แต่การไม่รู้จักพอมากๆเข้าบางทีมันก็ทำร้ายตัวเราเอง อย่าคิดมากนะครับ เราทำถูกแล้วล่ะพี่ว่า"
"หนูไม่อยากเห็นใครต้องมาเสียใจเลย เด็กคนนั้นเขาจะอยู่ยังไงถ้าไม่เหลืออะไร เขาจะได้เรียนต่อไหม ใครจะส่งเสีย หนูเสียใจนะ"
พลอยร้องไห้ออกมา กายอึ้งไปรีบปรี่เข้าไปหา
"ไม่ต้องมากอดหนู หนูไม่ได้นางเอกขนาดนั้น"
พลอยพูดออกมากายหน้าเหวอไป เพราะคิดว่าจะอาศัยโอกาสนี้รุกทำคะแนนแต่สำหรับผู้หญิงตรงหน้าคงยาก กายแอบอมยิ้มออกมา
อากาศยามบ่ายในตัวเมืองเชียงใหม่ไม่ร้อนมากนัก มีลมเอื่อยๆพัดผ่านมาให้คลายความร้อนได้บ้าง ภูมิบุญนั่งอยู่ระเบียงหน้าห้องพัก มองภูเขาเบื้องหน้าที่เขียวครึ้ม หมอกบางๆขมุกขมัวอยู่แม้บ่ายคล้อยแล้ว ปลายเดือนคุลาคมเช่นนี้อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงเหมาะแก่การมาพักผ่อนเสียจริง
"ภูมิ ล้างแผลให้พี่หน่อยสิ มันคันๆอ่ะ"
โตโต้เดินถือกล่องยาเข้ามา ปลุกภูมิบุญให้ตื่นจากภวังค์ เขาเหลือบหันไปมองร่างโตที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
"พี่สั่งอาหารไปนะเดี๋ยวก็คงมา หิวยังเรา"
"นิดหน่อยครับ มันคันแสดงว่ามันเริ่มจะแห้งแล้วสิครับ"
ภูมิบุญพูดแล้วลุกขึ้นไปจัดแจงที่นั่งเตรียมจะล้างแผลให้เขา
"อากาศดีเนอะ จะนอนให้ฉ่ำปอดไปเลย"
"ครับ ยังเจ็บอยู่ไหมครับคุณโตโต้"
โตโต้ส่ายหน้ายิ้มให้ ภูมิบุญจับจ้องอยู่ที่ต้นแขนซ้าย ค่อยๆแกะเอาผ้าพันแผลออก
"ยังไม่แห้งเลยนี่ครับ"
ปากก็พูดไปเรื่อยกับสิ่งที่เห็น ส่วนโตโต้ยิ้มอย่างพอใจ
"พี่ไม่อยากให้มันหายหรอก"
"ทำไมล่ะครับ อยากให้มันเน่าเหรอ จะได้ตัดแขนทิ้ง"
"ถ้าหายแล้วภูมิก็ไม่ได้ล้างแผลให้พี่สิ ไม่เอาหรอก"
โตโต้พูดออกมา ภูมิบุญนิ่งไป ไม่น่าเริ่มประเด็นเลย ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก
"ผมขอตัวไปข้างล่างหน่อยนะครับ"
พอล้างแผลเสร็จก็พันผ้าให้โตโต้
"จะไปไหนล่ะ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว"
"ผมจะไปเดินเล่น อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้"
"งั้นพี่ไปด้วย"
"อย่าเลยครับ แผลยังไม่หายดี"
"เดินเล่นใช้เท้านี่ภูมิ พี่เจ็บแขนนะไม่ได้เจ็บเท้า"
สูดลมหายใจเข้าลึกกักไว้ในปอด
"พี่ก็เซ็งๆเหมือนกัน นอนทั้งวันเพลีย"
โตโต้พูดออกมาแล้วลุกขึ้นทำท่าเตรียมพร้อม ภูมิบุญแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมาอีกครั้ง
"พี่รู้นะภูมิว่าเราลำบากใจที่มาอยู่กับพี่สองคนแบบนี้ แต่พี่ขอสักวันไม่ได้เหรอภูมิ ทำดีกับพี่หน่อย พี่แค่ต้องการกำลังใจ"
น้ำเสียงที่ขรึมเย็นจนภูมิบุญสะท้านไปกลางใจ มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ นี่เขาเป็นอะไรไป นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น
"คุณโตโต้"
ได้แต่ร้องออกไป โตโต้จ้องมองใบหน้าของภูมิบุญแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน ภูมิบุญหลบสายตา ในใจเริ่มร้อนรน นี่เขาจะทำยังไงดี ให้เหตุการณ์นี้มันลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่อยากให้ความหวัง ไม่อยากให้เขาคิดแม้แต่น้อย มันมากเกินไปแล้ว มันหนักหนาเกินที่ใจจะแบกรับเรื่องราวไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์เหล่านี้ ไม่คิด ไม่คิด ภูมิบุญบอกกับตัวเอง
"งั้นไปเดินเล่นกันครับ ไหวนะคุณโตโต้"
ภูมิบุญพูดออกมาพยายามทำตัวให้ยิ้มแย้มแจ่มใส เพรารู้สึกสะท้อนใจมากเช่นกันกับคำพูดและท่าทางของเขา นี่แสดงสีหน้าท่าทางออกไปมากขนาดนั้นเชียวหรือ ภูมิบุญคิดอยู่ในใจ
"ไปเดินดูของที่ตลาดดีไหม มีตลาดคนเดินด้วยนี่"
"คนเยอะนะครับ ไม่กลัวคนเขาจะมาเดินชนแขนเอาเหรอ ไปเดินริมน้ำปิงดีกว่าครับ ผมไม่ได้อยากจะซื้ออะไร"
ภูมิบุญบอกแล้วเดินออกจากห้องไป โตโต้เดินตามไปติดๆ โตโต้พยายามจะใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาที่มีจังหวะและโอกาส ไม่ว่าจะแตะเนื้อตัว ตอนแรกภูมิบุญก็พยายามจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ แต่พอเขาตื้อมากขึ้นก็รำคาญขี้เกียจขัดขืนอีก โตโต้จึงได้ใจ
"ยังคิดถึงมันอยู่เหรอไอ้แทนน่ะ"
อยู่ดีๆก็โพล่งขึ้นมา ภูมิบุญกำลังเหม่อมองลำน้ำปิงยามอาทิตย์อัสดง สายน้ำสีขุ่นๆสะท้อนกับแสงแดดงดงามยิ่งนัก สะดุ้งหมดอารมณ์ที่จะดูทันที
"ทำไมเหรอครับ"
"มันมีคนใหม่แล้วป่านนี้ เป็นอย่างเราน่ะไม่มีอะไรผูกมัดกันไว้ ลำพังเชื่อใจกันอย่างเดียวไม่เหลือหรอก เชื่อพี่ดิ"
"แล้วทำไมครับ"
พูดเสียงเขียวจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
"ทีหญิงชายอย่างคุณโตโต้ยังไปไม่รอดเลย แล้วหญิงกับชายมันมีอะไรล่ะครับที่ผูกที่มัดกันไว้ คนเราหากไม่เชื่อใจกันไม่มีใจให้กัน เพศไหน รศนิยมแบบไหน ต่อให้ผูกมัดตรึงกันด้วยเชือก มันก็ไม่อยู่หรอก จริงไหมครับ"
"ฮ่าๆ เอาจริงเอาจังเชียวนะ พูดถึงชื่อมันไม่ได้เลยนะภูมิ รักมันมากขนาดนั้นเลยเหรอ"
"กลับเถอะครับ ผมหิวแล้ว"
ภูมิบุญตัดบทเดินหนีไป ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้
"หึหึ สักวันเถอะภูมิ คนที่ภูมิจะต้องรกจนหมดใจคือพี่ พี่คนเดียว"
โตโต้หัวเราะไล่หลังมา ไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนความคิดจากเกลียดเป็นแบบนี้ไปได้ รักหรือ? ก็ไม่ เขาแค่อยากจะเอาชนะคนถือดีอย่างภูมิบุญเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าคนที่ใจแข็งอย่างเขาเวลารักใครหมดใจ มันจะเป็นเหมือนรักแทนทวีไหม แค่นั้นเอง
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากห้าสิบเจ็ด
มีคนเคยบอกว่าเวลาเราหลับตา เรามักจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆรอบตัว จะมีเพียงความมืดมิดที่ปกคลุม เวลาเจอสิ่งไม่สบายใจหรือไม่ชอบใจ หลับตาเสียแม้สักเพียงเสี้ยววินาที ภาพเหล่านั้นมันก็จะเลือนหายไป มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ภาพในอดีตที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป กลิ่นคาวของเลือดที่คละคลุ้งตลบไปทั่วทั้งโสตประสาท ภาพแววตาที่แค้นอาฆาตยังติดตรึงใจ แค่เพียงหลับตามันหายไปได้จริงหรือ
"คุณโตโต้เป็นยังไงบ้างครับคุณท่าน"
ภูมิบุญถามขึ้นเมื่อออกจากบริษัทแล้วตรงไปที่โรงพยาบาล เพราะทุกคนที่บ้านรวมกันอยู่ที่โรงพยาบาล สีหน้าของคุณอภิสราไม่ได้วิตกกังวลอะไรแล้ว
"ก็ดีขึ้นแล้วล่ะลูก ตอนนี้ก็ให้น้ำเกลืออยู่ โชคดีนะที่แค่ถากๆไป พอตาโต้หายป้าคงต้องทำบุญบ้านครั้งใหญ่"
"ครับ คุณท่านจะกลับเลยเหรอครับ"
ภูมิบุญถามเพราะเห็นมารดาของตนเก็บของกำลังจะออกไปจากห้อง
"จ๊ะ ป้าอยากจะอาบน้ำเต็มทีแล้ว ร้อนเหนื่อยมาทั้งวัน ภูมิไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เขาหน่อยสิลูก เห็นบ่นอยู่ว่าไม่มีใครเฝ้า"
"เอ่อ"
อยากจะปฏิเสธออกไปแต่ก็ไม่พูด เดินเข้าไปในห้อง เห็นโตโต้กำลังนอนอยู่อย่างสบายอารมณ์
"เป็นไงภูมิ เรียบร้อยดีไหม เห็นแม่บอกภูมิเฉียบขาดมาก"
โตโต้พูดขึ้นหันมายิ้มให้ ภูมิบุญไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีได้แต่ยิ้มแห้งๆ
"ยังเจ็บอยู่ไหมครับ"
เดินเข้าไปใกล้ๆ เพราะเขาลูกปืนถึงพลาดไป เพราะเขาที่ผลักให้ก้มตัวลงเขาจึงรับเคราะห์แทน พอเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับจิต
"ไม่แล้ว แค่มันปวดๆนิดหน่อย"
"ขอบคุณนะครับคุณโตโต้ ที่ช่วยผมไว้"
พูดออกมาเสียงเครือ ไม่ได้อยากให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้น ไม่อยากให้เขาเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้
"ไม่เป็นไร พี่ก็ต้องคอยปกป้องภูมิอยู่แล้วนี่นะ เออ พี่ว่าจะไปพักฟื้นที่เชียงใหม่นะ ภูมิต้องไปกับพี่ด้วยล่ะ"
โตโต้พูดขึ้นยังยิ้มอยู่
"แล้วบริษัทล่ะครับ ใครจะดู คงไม่ได้หรอกครับคุณโตโต้"
"อ้าว พี่เจ็บนะภูมิ คนเรานี่นะ ช่วยเขาแล้วพอเขาไม่เป็นไร เรามันก็ไม่มีค่าอะไรเลยสินะ"
ตัดพ้อออกมา ภูมิบุญเม้มปาก ไม่ชอบที่จะได้ยินคำพูดแบบนี้ แต่ก็นิ่งไม่พูดอะไร
"เรื่องบริษัท แม่จะเข้าไปดูให้ ช่วงนี้ไม่มีอะไรมากหรอก โปรเจ็กต์ทุกอย่างพี่ระงับไว้ก่อน แค่อาทิตย์เดียวเองภูมิ ไม่รู้ล่ะพี่บอกแม่ไปแล้ว และที่สำคัญแม่โอเคแล้วด้วย"
"ไม่เห็นคุณท่านบอกอะไรผมสักคำ"
ยังค้านอยู่ไม่ยอมง่ายๆ
"กลับบ้านไปแม่ก็คงบอกเองล่ะ"
"ทำไมต้องไปไกลถึงเชียงใหม่ด้วยล่ะครับ อยู่บ้านพักรักษาตัวไม่หายเหรอ"
"ฮ่าๆๆ ส่วนตัวไงครับ ถือโอกาสพักร้อนไปในตัว ตั้งแต่ทำงานมาพี่ยังไม่พักเลยนะภูมิ"
ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีกแล้ว ภูมิบุญนิ่งคิดก่อนจะถอยห่างออกมา
"แล้วต้องนอนโรงบาลกี่วันครับถึงจะกลับบ้านได้"
"หมอบอกให้นอนคืนนึง แต่พี่คงไม่นอนหรอก นอนไม่หลับ กลับไปนอนบ้านดีกว่า"
"จะดีเหรอครับ"
"เอาน่า พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย"
ภูมิบุญได้แต่ส่ายหน้า
"มาช่วยพี่หน่อยสิภูมิ"
โตโต้ยันกายลุกขึ้น เขาพูดจริงทำจริง ภูมิบุญยืนมองอยู่ไม่ได้ใส่ใจ
"โอ๊ย"
"คุณโตโต้ เจ็บไหม"
โตโต้ล้มลงกับเตียงเหมือนเคย หน้าตาบูดเบี้ยวแสดงความเจ็บปวดออกมา ภูมิบุญปรี่เข้าไปหา
"คุณโตโต้"
โตโต้คว้าหมับเข้าที่ต้นคอของภูมิบุญแล้วถือโอกาสหอมแก้มทันที ภูมิบุญสะดุ้งไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ ขืนตัวออกมามือก็ไปโดนเข้าที่แผล
"โอ๊ย"
"สม อยู่ดีๆไม่ชอบสินะครับ เจ็บจะได้จำ"
ภูมิบุญพูดออกไป ไม่สนใจนอาการ
"ใจร้ายว่ะภูมิ พี่เจ็บจริงๆนะ"
"รู้ครับ ตั้งใจทำให้เจ็บ"
"โอ๊ย เลือดไหลอีกแล้ว"
เลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผลเป็นดวงสีแดงสด ภูมิบุญตกใจ
"ผมขอโทษ"
ลังเลแต่ก็เดินเข้าไป ดึงแขนของเขามาดู
"เดี๋ยวผมเรียกหมอ"
"ไม่ต้อง เรียกหมอพี่ก็ไม่ได้กลับบ้านสิ ภูมิเปลี่ยนผ้าพันแผลให้พี่หน่อย"
"ผมทำไม่เป็น"
"แค่เอามาเปลี่ยน นี่ไงแกะออกแบบนี้"
โตโต้ใช้มือข้างขวาแกะผ้าพันแผลออกทันที ภูมิบุญยืนอึ้งอยู่
"เอ่อ"
"เจ็บนะภูมิ พี่เจ็บจริงๆนะ"
แม้จะไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมาแต่น้ำเสียงที่ขรึมของเขาทำให้ภูมิบุญต้องยอมใจอ่อน เดินไปหยิบผ้าที่พยาบาลเตรียมใส่ห่อไว้ให้กลับไปล้างแผลเองที่บ้าน แกะออกมาแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง จะยืนทำก็ไม่ถนัดภูมิบุญนั่งลงตรงข้างๆเตียง โตโต้เองก็ขยับตัวให้ภูมิบุญนั่ง
"เจ็บอยู่ไหมครับ"
โตโต้ส่ายหน้าเอามือขวาขึ้นพาดหัวนอนดูอยู่ ภูมิบุญค่อยๆแกะผ้าพันแผลออกมา พอเห็นเลือดที่กำลังไหลก็หน้าซีด
"เรียกหมอดีกว่าไหมครับ"
"ไม่ต้องหรอก ล้างแผลแล้วก็พันๆ เดี๋ยวก็หยุดเองล่ะ"
โตโต้ไม่อยากให้ใครทำให้เขา คนที่อยากให้แตะตัวมากที่สุดกำลังพยายามแกะผ้าออกอยู่ข้างๆนี่เอง ภูมิบุญซับเลือดออกจนหมดแล้วจึงล้างแผล กลัวว่าจะโดนแผลอีกเลือดจะไหลออกมา จึงเบามือเป็นที่สุด ส่วนคนที่นอนเอามือรองหัวอยู่นั้นยิ้มออกมา
พลอยเองพอเลิกงานก็ออกมารอรถหน้าบริษัทป้ายรถเมล์ที่คราคร่ำไปด้วยพนักงานบริษัทเดียวกัน ต่างก็ออกันอยู่ด้วยมีจุดประสงค์เช่นเดียวกัน
"พลอยๆ กลับบ้านใช่ไหม ป่ะพี่ไปส่ง"
เสียงเรียมาจากรถยุโรปหรูมันวาวสีดำจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์ พลอยหันไปมองพอเห็นว่าใครก็เชิดหน้าใส่ทำเป็นไม่สนใจ
"พลอยๆ เร็วๆเดี๋ยวเขาด่าเอา"
"น้องๆ แฟนมารับน่ะไปดิ รถเมล์ไม่มีที่จอด"
เสียงพนักงานคนอื่นบอก พลอยเริ่มรู้สึกอายขึ้นมาเพราะตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนทั้งป้ายรถเมล์ ไปแล้ว จะเดินหนีไปก็เสียฟอร์ม จะขึ้นรถไปกับเขาหรือก็ไม่มีทาง
"ปรื๊นนนน"
เสียงบีบแตรยายดังก้องไล่รถคันงามข้างหน้าให้ขยับแต่เขาเองก็ไม่ได้สนใจ
"ไปเถอะหนู จะทะเลาะกันก็กลับไปทะเลาะที่บ้าน ขวางทางคนอื่นเขา"
เสียงดังอยู่รอบตัว สายตาที่เปลี่ยนเป็นรำคาญฉายออกมาจากทุกคน พลอยเริ่มอึดอัด ตัดสินใจวิ่งกึ่งเดินหนีไปทันที
"ไอ้บ้าเอ้ย"
พลอยสบถออกมาวิ่งไม่ยอมหยุด กายถึงกับอึ้งไม่คิดว่าพลอยจะใจแข็งขนาดนี้
"เอาสิพลอย ใจแข็งแค่ไหนกันเชียว"
กายเองก็ไม่ยอมแพ้ขับรถตามไปติดๆ พอพลอยกวักมือเรียกแท็กซี่เขาก็ขับรถไปดักหน้าไว้
"จะเอายังไงพี่ ต้องการอะไร"
พลอยเหลืออดเดินปรี่ไปเปิดประตูรถตวาดออกไปเสียงดัง
"ขึ้นมาซะก็สิ้นเรื่องนะพลอย"
"พี่เป็นบ้าเหรอ ว่างมากนักหรือไงถึงมาตามวอแวคนอื่น ว่างนักก็เอาเงินไปแจกเด็กด้อยโอกาสโน่นพี่ รวยนักไม่ใช่เหรอ"
พลอยแว้ดเสียงออกมาดังสนั่น ไม่สนใจคนที่สัญจรไปมาแล้ว
"พลอย พี่แค่อยากไปส่งพลอยกลับบ้านนะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่น นะครับเห็นไหมเราเป็นคนทำให้รถติดนะ"
เสียงบีบแตรรถยังดังสนั่น พลอยกัดปาก
"ได้ อยากไปส่งใช่ไหม"
พลอยกัดฟันพูด แล้วก้าวขึ้นรถไปปิดประตูเสียงดัง
"โห ใจเย็นๆครับพลอย แหมเรานี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ"
พอพลอยก้าวขึ้นไปนั่งบนรถกายก็บึ่งรถออกไปทันที
"ตกลงมาเลยพี่ จะจีบหนูใช่ไหม หนูไม่ชอบพี่ ไม่คิดอยากจะมีผัว กำลังตั้งใจทำงานหาเงิน หรือพี่อยากจะได้แค่หนู เพราะคิดว่าหนูมันปากไม่ดี มันท้าทายความสามารถของพี่ พี่คิดผิดเพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น หรือพี่ต้องการอะไรว่ามาเลยค่ะ"
พลอยหันหน้าไปใส่เป็นชุด แต่พอพูดจบกายกลับหัวเราะออกมา
"เรานี่นะ พี่จีบเรา ใช่ครับ ไม่ได้คิดแค่อยากจะได้"
"ไม่มีทางค่ะพี่ ทำไมคะ มายุ่งกับหนูทำไม ผู้หญิงมากหน้าหลายตาต่างก็ยอมพี่กันทั้งนั้น โดยที่พี่ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย อย่ามาเสียเวลาเลยพี่ หนูไม่เล่นด้วยหรอก"
"ฮ่าๆๆ อย่างนี้ล่ะที่โดนใจพี่ ทำไมล่ะพลอย พี่ไม่สนหรอก รู้ไหม พี่มีแฟนมาก็เยอะนะ แต่พี่ไม่เคยถูกใจเท่าเรามาก่อน ให้ตายเถอะ"
"กรี๊ดดดด"
พลอยกรี๊ดใส่หน้า กายเหวอไป อ้าปากค้าง
"พูดไม่รู้เรื่องเหรอพี่ หนูไม่อยากมีผัว เข้าใจไหม"
ทุกคำที่ออกจากปากมันเป็นการตะโกนแทบทุกคำ ทั้งใจตะคอกเสียงใส่เขาเต็มที่ให้เขาเอือม
"อันนี้ก็ถูกใจ"
กายพูดออกมาเสียงอ่อยๆ
"จอดข้างหน้าได้ไหมคะ หนูจะลง นั่งไม่ได้หรอกค่ะรถแพงๆมันคันก้น"
พลอยออกคำสั่ง แต่กายทำเป็นไม่สนใจเพิ่มความเร็วของรถขึ้น
"รัดเข็มขัดด้วยนะครับ มันอันตราย"
แต่กลับพูดออกมาเสียงขรึม พลอยกรี๊ดใส่อีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จนหน้าแดงเสียงแหบ แต่กายกลับหัวเราะออกมา พลอยนั่งนิ่งถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับผู้ชายคนนี้จริงๆ
"พี่แทน ดีใจจังครับที่เจอ"
"ทำไมล่ะภูมิ พี่มาตั้งนานแล้ว รอเราอยู่นี่ล่ะ"
"ก็ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่แทนออนเท่าไหร่ ภูมิคิดว่าพี่แทนคงงานยุ่งน่ะครับ"
"อ้อ โทษทีนะภูมิ พี่ทำรายงานเยอะไปหน่อย เมื่อวันก่อนน็อคไปเลย งอนหรือเปล่าครับ คนดี"
"เปล่าครับพี่แทน ภูมิเข้าใจ พี่แทนทำอะไรอยู่ครับ"
"วันนี้ว่างครับ คิดถึงภูมิจังเลย พี่อยากกลับแล้วเนี่ย ไม่อยากเรียนให้จบเลย คิดถึงภูมิ"
"ไม่ดีหรอกครับพี่แทน แหมแค่อีกปีเดียวเอง แป๊บเดียวนะครับ อึดใจเดียว อดทนหน่อยนะครับ ภูมิก็คิดถึงพี่แทน"
"อยากกอดภูมิจังเลยนะ นานแค่ไหนแล้วที่พี่ไม่ได้กอดเรา"
"พี่แทนครับ ภูมิคิดถึงพี่แทนมากนะ คิดถึงมากจริงๆ ยิ่งมีเรื่องที่ทำงานยิ่งคิดถึง รู้ไหมครับว่าเวลาที่ภูมิท้อ ภูมิจะคิดถึงแต่พี่แทน พี่แทนเป็นกำลังใจให้ภูมิตลอดเลยนะ"
"พี่ดีใจจังครับ พี่ก็คิดถึงภูมิมากนะ พี่รักภูมินะ รักมาก"
"ภูมิก็รักพี่แทนนะครับ"
ภูมิบุญกลับถึงบ้านก็บังคับให้โตโต้กินยา กว่าจะกินได้เขาดื้อเหมือนเด็กเพราะถ้าให้กินเองก็ไม่กิน คุณอภิสราก็บังคับไม่ได้ ภูมิบุญต้องอ้อนวอนหลายทาง จนต้องหลวมตัวตกปากรับคำไปเชียงใหม่กับเขาพรุ่งนี้ โตโต้ถึงยอมกินยา พอโตโต้ขึ้นไปนอนก็ขอตัวกลับมาห้องพัก รีบเปิดคอมพิวเตอร์ทันที แรงใจที่คิดว่าขาดหายไปคืนกลับมาดังเดิม แรงใจที่มาจากอีกปลายขอบฟ้า แม้จะมีทะเลขวางกั้นหลายร้อยไมล์แต่ทั้งสองก็ส่งใจถึงกัน ภูมิบุญยิ้มอย่างเป็นสุข เหตุการณ์ที่บริษัทผ่านไปด้วยดี เรื่องของหัวใจก็ชุ่มฉ่ำมีรักคอยหล่อเลี้ยง แค่นี้จริงๆที่ต้องการ ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อตอนก่อนเลิกงานหลังจากที่เมย์เดินออกไปจากห้องของภูมิบุญแล้วก็เดินออกไปยิ้มให้พลอย รายนั้นยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่หลังจากที่รู้ความจริง
"พี่ไม่ถือหรอกค่ะน้องพลอย เรานี่เก่งนะพี่ยอมรับ แต่ขอเรื่องเดียว อย่าว่าพี่ไม่สวย อันนี้ไม่ยอมนะคะ"
เมย์พูดขึ้นน้ำเสียงติดตลก
"แหมพี่เมย์ พลอยล้อเล่นหรอกค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ แต่พี่เมย์นี่ตุ๊กตาทองยังอายเลยนะคะ"
"ถือว่าเป็นคำชมนะคะน้องพลอย ไม่ได้หรอกค่ะ พี่เองก็เกลียดคนไม่รู้จักพอ พี่อาสาคุณโตโต้เองล่ะค่ะ"
"แล้วพี่เมย์จะกลับมาทำตำแหน่งเดิมไหมคะ พลอยจะได้ไปบอกภูมิให้ พลอยว่าพลอยไปทำอย่างอื่นดีกว่า"
"อุ๊ย ไม่ค่ะน้องพลอย ไม่ๆ พี่ว่าพี่ชักติดใจพีอาร์แล้วล่ะค่ะ จะขอเป็นลูกมือคุณหิน ชอบผลงานมานานแล้ว แต่ช่วงนั้นพี่ได้แต่เก็บข้อมูล เพราะแผนกบัญชียังไม่เด่นมาก เลยไม่ได้ช่วยอะไรคงไม่กลับหรอกค่ะ ฝากน้องพลอยด้วยนะคะ เออ เดี๋ยววันไหนว่างพี่จะสอนให้นะ"
เมย์พูดอย่างอารมณ์ดี ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสก่อนที่เมย์จะเดินกลับไปออฟฟิศของตน
"นังนกสองหัว ตอแหลที่สุด"
เสียงแพรที่กำลังกวาดของบนโต๊ะลงกล่องกระดาษด่ากราดมา
"อุ๊ยตาย นึกว่าเสียงใคร แพรนี่เอง"
เมย์เดินปรี่เข้าหาโดยไม่สะทกสะท้าน
"แกแน่มากนะที่เข้ามาหลอกชั้นนังเมย์"
"ก็พอตัวล่ะค่ะแพร ไม่งั้นจะเขี่ยพวกเห็นเศษเงินดีกว่างานที่มั่นคงแบบนี้ออกไปจากบริษัทได้เหรอคะ"
"แก จำไว้ อย่าให้ชั้นมาเอาคืนนะชั้นจะทำให้สาสมเลย นังงูพิษ"
"ค่า เชิญค่ะ แต่เอ๊ะ ตายแล้ว ไม่ได้นะคะแพร อันนั้นทรัพย์สินของทางบริษัทนี่คะ อะไรกัน โกงจนวินาทีสุดท้ายเลยนะคนเรา หน้าด้านหน้าทนจริงๆ"
"กรี๊ดดด อีเมย์ แก"
ปรี่เข้ามาง้างมือขึ้นจะตบ เมย์รีบคว้าแฟ้มหนาๆใกล้มือมาถือขู่ไว้
"เอาสิคะ หมั่นไส้มานานเหมือนกัน หนอยคิดว่าตัวเองแน่มากนักเหรอ อย่างหล่อนน่ะ เขารับเข้าทำงานก็บุญหัวแล้ว ทำงานก็ทุเรศ เสือกโกงอีกต่างหาก นี่ยังไม่สำเหนียกตัวเองอีก เป็นไงล่ะหรูหรานัก สมน้ำหน้า ไม่เหลืออะไรสักชิ้น"
"กรี๊ดด อีเมย์"
"อะไร อีแพร หล่อนเข้ามาแต่ตัว หล่อนก็ต้องออกไปแต่ตัว อ้ออย่าได้หวังเอาอะไรออกไปสักชิ้นเดียว"
"แกมีปัญญาอะไรมาห้ามชั้น อีงูพิษ หน้าโง่"
"ต๊าย กล้าพูด คนหน้าโง่น่ะหล่อนย่ะ ไม่ใช่ชั้น ไม่งั้นชั้นจะหลอกหล่อนได้เหรอ คนโง่น่ะคือคนเห็นแค่เงินเล็กน้อยแต่เลื่อยขาเก้าอี้ตัวเอง หล่อนเอาอะไรคิดแพร เอาต่อมเหงื่อคิดเหรอ"
"ชั้นไม่จนหนทางหรอก บริษัทนี้ไม่เอา ชั้นก็ไปที่ใหม่ อีโง่"
เสียงด่าทอกันดังก้องออฟฟิศพนักงานคนอื่นๆมายืนมองกันใหญ่ ต่างก็เชียร์เมย์
"เฮ้อ แสดงความโง่ดักดานออกมานะแพร จะบอกให้นะ หล่อนไปไหนใครจะเอา หือ ไปที่ใหม่เพื่อที่จะไปโกงเขาอีกน่ะเหรอ หล่อนคิดว่าใครเขาจะเอาคนขี้โกงอย่างหล่อน จำเอาไว้ หล่อนคิดว่าบริษัทนี้กระจอกเหรอยะ คอนเน็กชั่นเขาก็ใหญ่โต คนที่โกงบริษัทนี้จะไม่เหลืออะไรสักอย่าง พวกหล่อนจะต้องรับกรรม จำไว้"
เมย์พูดเสียงดังสายตาเคียดแค้น ร้องบอกให้พนักงานผู้ชายขนของออกจากล่องของแพร รายนั้นยืนน้ำตาไหลตัวสั่นอยู่โกรธจัดจนหน้าแดง
ของที่ได้มาง่ายมักจะเสียไปง่ายเพราะเรามองข้ามละเลยคุณค่าของมันไป เงินที่ร้อน เงินที่โกงเขามาหรือลักเขามามักจะออกไปเร็วอยู่กับเราไม่นาน มิหนำซ้ำจะนำพาความร้อนใจมาให้ ถ้าเรามองเห็นเงินว่ามันใหญ่กว่าสิ่งที่ทำ เงินมันก็ย่อมจะยิ่งใหญ่กว่าเสมอ เงินซื้อได้ทุกอย่าง ยกเว้นความซื่อสัตย์จากใจจริง ทำไมเราไม่อยู่เท่าที่เรามี หาเงินเอามาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดให้พอเพียง มีเงินมากแล้วยังไงต้องร้อนใจเหมือนไฟลนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้หรือ ต้องคอยหวาดระแวงว่าใครเขาจะมาแย่งมาฉวยเอา หรือกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเงินนี้ไม่ได้มาด้วยสุจริต ดีใจแล้วหรือ มนุษย์เอยอันกล้วยน้ำว้าหนึ่งลูกกลืนลงท้องไปก็หล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่ต่อไปได้เช่นเดียวกับการกินอาหารเลิศรสราคาแพง แต่ถ้ากินกล้วยน้ำว้าแล้วสุขใจเหลือเกิน พอใจเหลือเกินกับกล้วยน้ำว้าที่เราหามันมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แล้วทำไมเราถึงเสาะแสวงหาอาหารหรูหราราคาแพงแต่ต้องไปทนนั่งตัวแข็งเชิดคอ ทรมานกายเช่นนั้นหรือ
"ป้าฝากพี่เขาด้วยนะภูมิ แขนน่ะคงยังจับไม่ถนัด ตาโต้เองก็อย่ากวนน้องเขามากนักล่ะ เดี๋ยวแม่เรียกกลับนะ"
คุณอภิสรายืนบอกลูกชายกับภูมิบุญอยู่หน้าบ้าน ภูมิบุยเองหน้าตาไม่ปรารถนาที่จะไปด้วยเลย แต่คนตัวใหญ่กลับยิ้มอย่างมีความสุข
"ครับคุณท่าน ภูมิเป็นห่วงบริษัทจังเลยครับ เป็นห่วงคุณท่าน อุตส่าห์วางมือแล้วแท้ๆ"
ภูมิบุญเหน็บโตโต้ แต่รายนั้นทำหูทวนลมไม่รับรู้
"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะภูมิ ป้าสบายมากดีเหมือนกันจะได้ไปดูฟ้าหลังฝน"
"เออตาโต้ อย่าลืมตามเรื่องล่ะ อย่าปล่อยให้เงียบหายไป ไม่ได้นะ"
"ไม่มีทางครับแม่ คุณอนิรุธกับคุณวิโรจน์ดำเนินการอยู่ครับ โต้ไม่ปล่อยไปหรอก"
"คนเรานะ เลี้ยงดีๆไม่ชอบ อยากรวยกันทางลัด เฮ้อ"
คุณอภิสราถอนหายใจออกมาหันมามองหน้าภูมิบุญ
"ไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวตกเครื่อง ลุงหมายต้องกลับมารับแม่ไปที่บริษัทอีกนะ"
คุณอภิสราเอ่ยขึ้น ภูมิบุญยกมือไหว้มารดาของตนแล้วลาเจ้าของบ้าน คุณอภิสรากอดตัวของภูมิบุญไว้
"ภูมิ ป้าไว้ใจเรามากนะ ป้ารักเราเหมือนลูกเหมือนหลาน ดูแลกันดีๆนะลูก"
สะท้อนบาดลึกเข้าไปถึงกลางใจ บางทีคนพูดอาจจะไม่ได้คิดอะไรแต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดถึงกับสะดุ้ง สิ่งต่างๆในอดีตที่เคยทำผิดพลาดไปกับเขามันสะท้อนเด่นขึ้นมา ภาพเหล่านั้นมันลอยเข้ามาในหัว นี่น่ะหรือสิ่งที่ตอบแทนให้กับคนที่ไว้ใจเขามากที่สุด คนที่เพิ่งจะพูดออกมาว่ารักเขาเหมือนลุกเหมือนหลาน เขาตอบแทนคนๆนี้ด้วยการทำแบบนี้คืนหรือ มันหนักหนาสาหัสกว่าการโกง มันคือการเหยียบย่ำหัวใจของผู้เป็นมารดาถ้าหากว่าท่านรู้ว่า คนที่ท่านไว้ใจมากที่สุดคนนี้ คนที่ท่านรักเหมือนลูกเหมือนหลานคนนี้ มีความสัมพัธ์ลุกซึ้งกับบุตรชายเพียงคนเดียวของท่าน นี่น่ะหรือภูมิบุญ
"คุณโตโต้"
โตโต้คว้าหมับเข้าที่ต้นคอของภูมิบุญแล้วถือโอกาสหอมแก้มทันที ภูมิบุญสะดุ้งไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ ขืนตัวออกมามือก็ไปโดนเข้าที่แผล
"โอ๊ย"
"สม อยู่ดีๆไม่ชอบสินะครับ เจ็บจะได้จำ"
ภูมิบุญพูดออกไป ไม่สนใจนอาการ
"ใจร้ายว่ะภูมิ พี่เจ็บจริงๆนะ"
"รู้ครับ ตั้งใจทำให้เจ็บ"
"โอ๊ย เลือดไหลอีกแล้ว"
เลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผลเป็นดวงสีแดงสด ภูมิบุญตกใจ
"ผมขอโทษ"
ลังเลแต่ก็เดินเข้าไป ดึงแขนของเขามาดู
"เดี๋ยวผมเรียกหมอ"
"ไม่ต้อง เรียกหมอพี่ก็ไม่ได้กลับบ้านสิ ภูมิเปลี่ยนผ้าพันแผลให้พี่หน่อย"
"ผมทำไม่เป็น"
"แค่เอามาเปลี่ยน นี่ไงแกะออกแบบนี้"
โตโต้ใช้มือข้างขวาแกะผ้าพันแผลออกทันที ภูมิบุญยืนอึ้งอยู่
"เอ่อ"
"เจ็บนะภูมิ พี่เจ็บจริงๆนะ"
แม้จะไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมาแต่น้ำเสียงที่ขรึมของเขาทำให้ภูมิบุญต้องยอมใจอ่อน เดินไปหยิบผ้าที่พยาบาลเตรียมใส่ห่อไว้ให้กลับไปล้างแผลเองที่บ้าน แกะออกมาแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง จะยืนทำก็ไม่ถนัดภูมิบุญนั่งลงตรงข้างๆเตียง โตโต้เองก็ขยับตัวให้ภูมิบุญนั่ง
"เจ็บอยู่ไหมครับ"
โตโต้ส่ายหน้าเอามือขวาขึ้นพาดหัวนอนดูอยู่ ภูมิบุญค่อยๆแกะผ้าพันแผลออกมา พอเห็นเลือดที่กำลังไหลก็หน้าซีด
"เรียกหมอดีกว่าไหมครับ"
"ไม่ต้องหรอก ล้างแผลแล้วก็พันๆ เดี๋ยวก็หยุดเองล่ะ"
โตโต้ไม่อยากให้ใครทำให้เขา คนที่อยากให้แตะตัวมากที่สุดกำลังพยายามแกะผ้าออกอยู่ข้างๆนี่เอง ภูมิบุญซับเลือดออกจนหมดแล้วจึงล้างแผล กลัวว่าจะโดนแผลอีกเลือดจะไหลออกมา จึงเบามือเป็นที่สุด ส่วนคนที่นอนเอามือรองหัวอยู่นั้นยิ้มออกมา
พลอยเองพอเลิกงานก็ออกมารอรถหน้าบริษัทป้ายรถเมล์ที่คราคร่ำไปด้วยพนักงานบริษัทเดียวกัน ต่างก็ออกันอยู่ด้วยมีจุดประสงค์เช่นเดียวกัน
"พลอยๆ กลับบ้านใช่ไหม ป่ะพี่ไปส่ง"
เสียงเรียมาจากรถยุโรปหรูมันวาวสีดำจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์ พลอยหันไปมองพอเห็นว่าใครก็เชิดหน้าใส่ทำเป็นไม่สนใจ
"พลอยๆ เร็วๆเดี๋ยวเขาด่าเอา"
"น้องๆ แฟนมารับน่ะไปดิ รถเมล์ไม่มีที่จอด"
เสียงพนักงานคนอื่นบอก พลอยเริ่มรู้สึกอายขึ้นมาเพราะตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนทั้งป้ายรถเมล์ ไปแล้ว จะเดินหนีไปก็เสียฟอร์ม จะขึ้นรถไปกับเขาหรือก็ไม่มีทาง
"ปรื๊นนนน"
เสียงบีบแตรยายดังก้องไล่รถคันงามข้างหน้าให้ขยับแต่เขาเองก็ไม่ได้สนใจ
"ไปเถอะหนู จะทะเลาะกันก็กลับไปทะเลาะที่บ้าน ขวางทางคนอื่นเขา"
เสียงดังอยู่รอบตัว สายตาที่เปลี่ยนเป็นรำคาญฉายออกมาจากทุกคน พลอยเริ่มอึดอัด ตัดสินใจวิ่งกึ่งเดินหนีไปทันที
"ไอ้บ้าเอ้ย"
พลอยสบถออกมาวิ่งไม่ยอมหยุด กายถึงกับอึ้งไม่คิดว่าพลอยจะใจแข็งขนาดนี้
"เอาสิพลอย ใจแข็งแค่ไหนกันเชียว"
กายเองก็ไม่ยอมแพ้ขับรถตามไปติดๆ พอพลอยกวักมือเรียกแท็กซี่เขาก็ขับรถไปดักหน้าไว้
"จะเอายังไงพี่ ต้องการอะไร"
พลอยเหลืออดเดินปรี่ไปเปิดประตูรถตวาดออกไปเสียงดัง
"ขึ้นมาซะก็สิ้นเรื่องนะพลอย"
"พี่เป็นบ้าเหรอ ว่างมากนักหรือไงถึงมาตามวอแวคนอื่น ว่างนักก็เอาเงินไปแจกเด็กด้อยโอกาสโน่นพี่ รวยนักไม่ใช่เหรอ"
พลอยแว้ดเสียงออกมาดังสนั่น ไม่สนใจคนที่สัญจรไปมาแล้ว
"พลอย พี่แค่อยากไปส่งพลอยกลับบ้านนะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่น นะครับเห็นไหมเราเป็นคนทำให้รถติดนะ"
เสียงบีบแตรรถยังดังสนั่น พลอยกัดปาก
"ได้ อยากไปส่งใช่ไหม"
พลอยกัดฟันพูด แล้วก้าวขึ้นรถไปปิดประตูเสียงดัง
"โห ใจเย็นๆครับพลอย แหมเรานี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ"
พอพลอยก้าวขึ้นไปนั่งบนรถกายก็บึ่งรถออกไปทันที
"ตกลงมาเลยพี่ จะจีบหนูใช่ไหม หนูไม่ชอบพี่ ไม่คิดอยากจะมีผัว กำลังตั้งใจทำงานหาเงิน หรือพี่อยากจะได้แค่หนู เพราะคิดว่าหนูมันปากไม่ดี มันท้าทายความสามารถของพี่ พี่คิดผิดเพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น หรือพี่ต้องการอะไรว่ามาเลยค่ะ"
พลอยหันหน้าไปใส่เป็นชุด แต่พอพูดจบกายกลับหัวเราะออกมา
"เรานี่นะ พี่จีบเรา ใช่ครับ ไม่ได้คิดแค่อยากจะได้"
"ไม่มีทางค่ะพี่ ทำไมคะ มายุ่งกับหนูทำไม ผู้หญิงมากหน้าหลายตาต่างก็ยอมพี่กันทั้งนั้น โดยที่พี่ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย อย่ามาเสียเวลาเลยพี่ หนูไม่เล่นด้วยหรอก"
"ฮ่าๆๆ อย่างนี้ล่ะที่โดนใจพี่ ทำไมล่ะพลอย พี่ไม่สนหรอก รู้ไหม พี่มีแฟนมาก็เยอะนะ แต่พี่ไม่เคยถูกใจเท่าเรามาก่อน ให้ตายเถอะ"
"กรี๊ดดดด"
พลอยกรี๊ดใส่หน้า กายเหวอไป อ้าปากค้าง
"พูดไม่รู้เรื่องเหรอพี่ หนูไม่อยากมีผัว เข้าใจไหม"
ทุกคำที่ออกจากปากมันเป็นการตะโกนแทบทุกคำ ทั้งใจตะคอกเสียงใส่เขาเต็มที่ให้เขาเอือม
"อันนี้ก็ถูกใจ"
กายพูดออกมาเสียงอ่อยๆ
"จอดข้างหน้าได้ไหมคะ หนูจะลง นั่งไม่ได้หรอกค่ะรถแพงๆมันคันก้น"
พลอยออกคำสั่ง แต่กายทำเป็นไม่สนใจเพิ่มความเร็วของรถขึ้น
"รัดเข็มขัดด้วยนะครับ มันอันตราย"
แต่กลับพูดออกมาเสียงขรึม พลอยกรี๊ดใส่อีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จนหน้าแดงเสียงแหบ แต่กายกลับหัวเราะออกมา พลอยนั่งนิ่งถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับผู้ชายคนนี้จริงๆ
"พี่แทน ดีใจจังครับที่เจอ"
"ทำไมล่ะภูมิ พี่มาตั้งนานแล้ว รอเราอยู่นี่ล่ะ"
"ก็ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่แทนออนเท่าไหร่ ภูมิคิดว่าพี่แทนคงงานยุ่งน่ะครับ"
"อ้อ โทษทีนะภูมิ พี่ทำรายงานเยอะไปหน่อย เมื่อวันก่อนน็อคไปเลย งอนหรือเปล่าครับ คนดี"
"เปล่าครับพี่แทน ภูมิเข้าใจ พี่แทนทำอะไรอยู่ครับ"
"วันนี้ว่างครับ คิดถึงภูมิจังเลย พี่อยากกลับแล้วเนี่ย ไม่อยากเรียนให้จบเลย คิดถึงภูมิ"
"ไม่ดีหรอกครับพี่แทน แหมแค่อีกปีเดียวเอง แป๊บเดียวนะครับ อึดใจเดียว อดทนหน่อยนะครับ ภูมิก็คิดถึงพี่แทน"
"อยากกอดภูมิจังเลยนะ นานแค่ไหนแล้วที่พี่ไม่ได้กอดเรา"
"พี่แทนครับ ภูมิคิดถึงพี่แทนมากนะ คิดถึงมากจริงๆ ยิ่งมีเรื่องที่ทำงานยิ่งคิดถึง รู้ไหมครับว่าเวลาที่ภูมิท้อ ภูมิจะคิดถึงแต่พี่แทน พี่แทนเป็นกำลังใจให้ภูมิตลอดเลยนะ"
"พี่ดีใจจังครับ พี่ก็คิดถึงภูมิมากนะ พี่รักภูมินะ รักมาก"
"ภูมิก็รักพี่แทนนะครับ"
ภูมิบุญกลับถึงบ้านก็บังคับให้โตโต้กินยา กว่าจะกินได้เขาดื้อเหมือนเด็กเพราะถ้าให้กินเองก็ไม่กิน คุณอภิสราก็บังคับไม่ได้ ภูมิบุญต้องอ้อนวอนหลายทาง จนต้องหลวมตัวตกปากรับคำไปเชียงใหม่กับเขาพรุ่งนี้ โตโต้ถึงยอมกินยา พอโตโต้ขึ้นไปนอนก็ขอตัวกลับมาห้องพัก รีบเปิดคอมพิวเตอร์ทันที แรงใจที่คิดว่าขาดหายไปคืนกลับมาดังเดิม แรงใจที่มาจากอีกปลายขอบฟ้า แม้จะมีทะเลขวางกั้นหลายร้อยไมล์แต่ทั้งสองก็ส่งใจถึงกัน ภูมิบุญยิ้มอย่างเป็นสุข เหตุการณ์ที่บริษัทผ่านไปด้วยดี เรื่องของหัวใจก็ชุ่มฉ่ำมีรักคอยหล่อเลี้ยง แค่นี้จริงๆที่ต้องการ ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อตอนก่อนเลิกงานหลังจากที่เมย์เดินออกไปจากห้องของภูมิบุญแล้วก็เดินออกไปยิ้มให้พลอย รายนั้นยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่หลังจากที่รู้ความจริง
"พี่ไม่ถือหรอกค่ะน้องพลอย เรานี่เก่งนะพี่ยอมรับ แต่ขอเรื่องเดียว อย่าว่าพี่ไม่สวย อันนี้ไม่ยอมนะคะ"
เมย์พูดขึ้นน้ำเสียงติดตลก
"แหมพี่เมย์ พลอยล้อเล่นหรอกค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ แต่พี่เมย์นี่ตุ๊กตาทองยังอายเลยนะคะ"
"ถือว่าเป็นคำชมนะคะน้องพลอย ไม่ได้หรอกค่ะ พี่เองก็เกลียดคนไม่รู้จักพอ พี่อาสาคุณโตโต้เองล่ะค่ะ"
"แล้วพี่เมย์จะกลับมาทำตำแหน่งเดิมไหมคะ พลอยจะได้ไปบอกภูมิให้ พลอยว่าพลอยไปทำอย่างอื่นดีกว่า"
"อุ๊ย ไม่ค่ะน้องพลอย ไม่ๆ พี่ว่าพี่ชักติดใจพีอาร์แล้วล่ะค่ะ จะขอเป็นลูกมือคุณหิน ชอบผลงานมานานแล้ว แต่ช่วงนั้นพี่ได้แต่เก็บข้อมูล เพราะแผนกบัญชียังไม่เด่นมาก เลยไม่ได้ช่วยอะไรคงไม่กลับหรอกค่ะ ฝากน้องพลอยด้วยนะคะ เออ เดี๋ยววันไหนว่างพี่จะสอนให้นะ"
เมย์พูดอย่างอารมณ์ดี ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสก่อนที่เมย์จะเดินกลับไปออฟฟิศของตน
"นังนกสองหัว ตอแหลที่สุด"
เสียงแพรที่กำลังกวาดของบนโต๊ะลงกล่องกระดาษด่ากราดมา
"อุ๊ยตาย นึกว่าเสียงใคร แพรนี่เอง"
เมย์เดินปรี่เข้าหาโดยไม่สะทกสะท้าน
"แกแน่มากนะที่เข้ามาหลอกชั้นนังเมย์"
"ก็พอตัวล่ะค่ะแพร ไม่งั้นจะเขี่ยพวกเห็นเศษเงินดีกว่างานที่มั่นคงแบบนี้ออกไปจากบริษัทได้เหรอคะ"
"แก จำไว้ อย่าให้ชั้นมาเอาคืนนะชั้นจะทำให้สาสมเลย นังงูพิษ"
"ค่า เชิญค่ะ แต่เอ๊ะ ตายแล้ว ไม่ได้นะคะแพร อันนั้นทรัพย์สินของทางบริษัทนี่คะ อะไรกัน โกงจนวินาทีสุดท้ายเลยนะคนเรา หน้าด้านหน้าทนจริงๆ"
"กรี๊ดดด อีเมย์ แก"
ปรี่เข้ามาง้างมือขึ้นจะตบ เมย์รีบคว้าแฟ้มหนาๆใกล้มือมาถือขู่ไว้
"เอาสิคะ หมั่นไส้มานานเหมือนกัน หนอยคิดว่าตัวเองแน่มากนักเหรอ อย่างหล่อนน่ะ เขารับเข้าทำงานก็บุญหัวแล้ว ทำงานก็ทุเรศ เสือกโกงอีกต่างหาก นี่ยังไม่สำเหนียกตัวเองอีก เป็นไงล่ะหรูหรานัก สมน้ำหน้า ไม่เหลืออะไรสักชิ้น"
"กรี๊ดด อีเมย์"
"อะไร อีแพร หล่อนเข้ามาแต่ตัว หล่อนก็ต้องออกไปแต่ตัว อ้ออย่าได้หวังเอาอะไรออกไปสักชิ้นเดียว"
"แกมีปัญญาอะไรมาห้ามชั้น อีงูพิษ หน้าโง่"
"ต๊าย กล้าพูด คนหน้าโง่น่ะหล่อนย่ะ ไม่ใช่ชั้น ไม่งั้นชั้นจะหลอกหล่อนได้เหรอ คนโง่น่ะคือคนเห็นแค่เงินเล็กน้อยแต่เลื่อยขาเก้าอี้ตัวเอง หล่อนเอาอะไรคิดแพร เอาต่อมเหงื่อคิดเหรอ"
"ชั้นไม่จนหนทางหรอก บริษัทนี้ไม่เอา ชั้นก็ไปที่ใหม่ อีโง่"
เสียงด่าทอกันดังก้องออฟฟิศพนักงานคนอื่นๆมายืนมองกันใหญ่ ต่างก็เชียร์เมย์
"เฮ้อ แสดงความโง่ดักดานออกมานะแพร จะบอกให้นะ หล่อนไปไหนใครจะเอา หือ ไปที่ใหม่เพื่อที่จะไปโกงเขาอีกน่ะเหรอ หล่อนคิดว่าใครเขาจะเอาคนขี้โกงอย่างหล่อน จำเอาไว้ หล่อนคิดว่าบริษัทนี้กระจอกเหรอยะ คอนเน็กชั่นเขาก็ใหญ่โต คนที่โกงบริษัทนี้จะไม่เหลืออะไรสักอย่าง พวกหล่อนจะต้องรับกรรม จำไว้"
เมย์พูดเสียงดังสายตาเคียดแค้น ร้องบอกให้พนักงานผู้ชายขนของออกจากล่องของแพร รายนั้นยืนน้ำตาไหลตัวสั่นอยู่โกรธจัดจนหน้าแดง
ของที่ได้มาง่ายมักจะเสียไปง่ายเพราะเรามองข้ามละเลยคุณค่าของมันไป เงินที่ร้อน เงินที่โกงเขามาหรือลักเขามามักจะออกไปเร็วอยู่กับเราไม่นาน มิหนำซ้ำจะนำพาความร้อนใจมาให้ ถ้าเรามองเห็นเงินว่ามันใหญ่กว่าสิ่งที่ทำ เงินมันก็ย่อมจะยิ่งใหญ่กว่าเสมอ เงินซื้อได้ทุกอย่าง ยกเว้นความซื่อสัตย์จากใจจริง ทำไมเราไม่อยู่เท่าที่เรามี หาเงินเอามาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดให้พอเพียง มีเงินมากแล้วยังไงต้องร้อนใจเหมือนไฟลนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้หรือ ต้องคอยหวาดระแวงว่าใครเขาจะมาแย่งมาฉวยเอา หรือกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเงินนี้ไม่ได้มาด้วยสุจริต ดีใจแล้วหรือ มนุษย์เอยอันกล้วยน้ำว้าหนึ่งลูกกลืนลงท้องไปก็หล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่ต่อไปได้เช่นเดียวกับการกินอาหารเลิศรสราคาแพง แต่ถ้ากินกล้วยน้ำว้าแล้วสุขใจเหลือเกิน พอใจเหลือเกินกับกล้วยน้ำว้าที่เราหามันมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แล้วทำไมเราถึงเสาะแสวงหาอาหารหรูหราราคาแพงแต่ต้องไปทนนั่งตัวแข็งเชิดคอ ทรมานกายเช่นนั้นหรือ
"ป้าฝากพี่เขาด้วยนะภูมิ แขนน่ะคงยังจับไม่ถนัด ตาโต้เองก็อย่ากวนน้องเขามากนักล่ะ เดี๋ยวแม่เรียกกลับนะ"
คุณอภิสรายืนบอกลูกชายกับภูมิบุญอยู่หน้าบ้าน ภูมิบุยเองหน้าตาไม่ปรารถนาที่จะไปด้วยเลย แต่คนตัวใหญ่กลับยิ้มอย่างมีความสุข
"ครับคุณท่าน ภูมิเป็นห่วงบริษัทจังเลยครับ เป็นห่วงคุณท่าน อุตส่าห์วางมือแล้วแท้ๆ"
ภูมิบุญเหน็บโตโต้ แต่รายนั้นทำหูทวนลมไม่รับรู้
"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะภูมิ ป้าสบายมากดีเหมือนกันจะได้ไปดูฟ้าหลังฝน"
"เออตาโต้ อย่าลืมตามเรื่องล่ะ อย่าปล่อยให้เงียบหายไป ไม่ได้นะ"
"ไม่มีทางครับแม่ คุณอนิรุธกับคุณวิโรจน์ดำเนินการอยู่ครับ โต้ไม่ปล่อยไปหรอก"
"คนเรานะ เลี้ยงดีๆไม่ชอบ อยากรวยกันทางลัด เฮ้อ"
คุณอภิสราถอนหายใจออกมาหันมามองหน้าภูมิบุญ
"ไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวตกเครื่อง ลุงหมายต้องกลับมารับแม่ไปที่บริษัทอีกนะ"
คุณอภิสราเอ่ยขึ้น ภูมิบุญยกมือไหว้มารดาของตนแล้วลาเจ้าของบ้าน คุณอภิสรากอดตัวของภูมิบุญไว้
"ภูมิ ป้าไว้ใจเรามากนะ ป้ารักเราเหมือนลูกเหมือนหลาน ดูแลกันดีๆนะลูก"
สะท้อนบาดลึกเข้าไปถึงกลางใจ บางทีคนพูดอาจจะไม่ได้คิดอะไรแต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดถึงกับสะดุ้ง สิ่งต่างๆในอดีตที่เคยทำผิดพลาดไปกับเขามันสะท้อนเด่นขึ้นมา ภาพเหล่านั้นมันลอยเข้ามาในหัว นี่น่ะหรือสิ่งที่ตอบแทนให้กับคนที่ไว้ใจเขามากที่สุด คนที่เพิ่งจะพูดออกมาว่ารักเขาเหมือนลุกเหมือนหลาน เขาตอบแทนคนๆนี้ด้วยการทำแบบนี้คืนหรือ มันหนักหนาสาหัสกว่าการโกง มันคือการเหยียบย่ำหัวใจของผู้เป็นมารดาถ้าหากว่าท่านรู้ว่า คนที่ท่านไว้ใจมากที่สุดคนนี้ คนที่ท่านรักเหมือนลูกเหมือนหลานคนนี้ มีความสัมพัธ์ลุกซึ้งกับบุตรชายเพียงคนเดียวของท่าน นี่น่ะหรือภูมิบุญ
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากห้าสิบหก
"เป็นยังไงบ้างภูมิ เมื่อวานมันมาให้เราเซ็นอะไรนะ"
โตโต้ถามภูมิบุญระหว่างไปทำงาน สายตายังจับจ้องที่ถนนใหญ่เบื้องหน้าท่าทางของเขาดูสดชื่นขึ้นมาบ้างแล้ว
"ก็แผนงานนำเสนอน่ะครับ พอดีโทรไปถามคุณโตโต้ก่อน จึงยังไม่ได้เซ็น"
"ร้ายจริงๆ นี่กะจะเล่นตอนที่พี่ไม่อยู่ล่ะสินะ ดี"
โตโต้กัดกรามกรอด
"วันนี้พี่จะเรียกประชุมด่วน"
"แล้วหลักฐาน หมายศาลล่ะครับ"
"หมายศาลมาแล้ว มีคนโทรมาบอกพี่เมื่อเช้า พอดีคุณอนิรุธเขาวานเพื่อนเขาเร่งให้น่ะ พี่ว่าถ้ายิ่งปล่อยไว้นานเดี๋ยวพวกมันไหวตัวทัน เอาให้หงายหลังไปเลย"
โตโต้แสยะยิ้มออกมา
"เมื่อวาน คุณสายใจก็มาขอกุญแจห้องเก็บเอกสาร ถ้าผมคิดไม่ผิด คิดว่าฝ่ายโน้นน่าจะไหวตัวแล้ว คงคิดจะเอาเอกสารไปทำลาย เพราะเห็นแม่บ้านบอกพลอยว่าคุณสายใจให้เรียกคนรับซื้อของเก่าเข้ามา"
"จริงเหรอภูมิ แล้วมันได้เอกสารไปไหม"
"คงได้ล่ะครับ แต่เอกสารที่เขาต้องการคงจะไม่ได้ไป เพราะผมให้ลุงหมายขนมาไว้ที่ห้องเก็บของที่บ้านหมดแล้ว"
โตโต้หันมายิ้มกริ่ม
"ฉลาดมากภูมิ ดีใจจริงๆนะที่เรามาช่วยงานพี่ ถ้าเรื่องเสร็จไปด้วยดีเราอยากได้อะไร เดี๋ยวพี่หาให้"
"ผมไม่ได้อยากได้อะไรหรอกครับคุณโตโต้ ผมแค่อยากจะตอบแทนคุณท่านที่เมตตาผมกับแม่"
ภูมิบุญพูดเสียงเรียบมองออกไปนอกถนน
"เอ๊ะ ทำไมมอเตอร์ไซค์คันนี้ตามเรามาตลอดเลยครับ ผมเห็นตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว"
พอมองออกไปนอกรถสายตาก็ไปตกอยู่ที่กระจกมองหลัง รถมอร์เตอร์ไซค์คันใหญ่มีคนนั่งมาสองคนใส่หมวกกันน็อคสีดำมะเมื่อมขับคอยตามอยู่ตลอดเวลา พอโตโต้เห็นรถมอร์เตอร์ไซค์ก็ขับเร็วขึ้น จนมาขนาบข้างอยู่ทางฝั่งของภูมิบุญ
"ภูมิระวัง"
โตโต้ร้องออกมา หักพวงมาลัยทันที เขาเอามือผลักตัวภูมิบุญให้ก้มไปข้างหน้า
"ปัง!"
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น โตโต้หักรถปาดหน้ารถมอร์เตอร์ไซค์จนเขาเสียหลักไถลไปกับพื้น
"เอี๊ยด!!!!"
"ภูมิๆ ภูมิเป็นอะไรไหม"
"โครม!!"
เสียงรถที่วิ่งตามมาชนกันเป็นระนาว ภูมิบุญหูชาไปหน้าซีด
"ผมไม่เป็นอะไร คุณโตโต้ คุณโตโต้ถูกยิง"
เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากแขนของโตโต้ ภูมิบุญตกใจทำอะไรไม่ถูก
"ไม่เป็นไรพี่ยังไหว"
โตโต้พูดออกมา ภูมิบุญกัดปากแน่น
"ภูมิ อย่าออกไป ภูมิ"
ภูมิบุญปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวลงไปจากรถทันที ร่างสองร่างที่กำลังคลานอยู่กลางถนน เท้าของภูมิบุญก้าวไปเหยียบโดนปืน ไฟโทสะเข้าครอบงำหน้าของภูมิบุญแดงจัด เอาเท้าเขี่ยปืนให้ไถลเข้าไปในใต้ท้องรถ วิ่งกึ่งเดินปรี่เข้าไปหา ร่างของคนที่เป็นมือปืนกำลังลุกจะวิ่งหนีไป แต่อีกร่างเหมือนเจ็บหนักเพราะมีเลือดอาบอยู่ตามตัว มีแผลถลอกปอกเปิก ภูมิบุญถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่ง ปาไปใส่กลางหัวของร่างที่กำลังจะลุกวิ่งหนีไป ร่างนั้นขมำไปข้างหน้าเสียหลักล้มลง
"มึงจะไปไหน"
เสียงกร้าวแข็งดังไปทั่วท้องถนน ภูมิบุญวิ่งปรี่เข้าไป ดึงเอาหมวกกันน็อคออก พอมือคว้าได้หมวกกันน็อคก็กระหน่ำตีเข้าที่หัว จนเลือดของมือปืนไหลอาบออกมา ส่วนอีกคนพยายามจะคลานหนี
"กูไปทำอะไรให้มึง ทำไม"
ตีไปตวาดไป พอเหลือบไปเห็นอีกร่างที่กำลังจะคลานหนีก็ถลาเข้าไปหาจับหัวให้โขกกับพื้นทั้งที่ยังใส่หมวกกันน็อคอยู่จนหมวกแตก ภูมิบุญง้างมือเอาหมวกกันน็อคฟาดอีก
"ภูมิ พอแล้วภูมิ"
โตโต้คลานออกมาจากรถ อึ้งตกใจไม่คิดว่าภูมิบุญจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ ไม่เคยคิด พอมีสติก็รีบลงมาจากรถ แต่เนื่องด้วยเริ่มเจ็บแขนเลือดก็ไหลออกมากเขาจึงเหมือนจะเป็นลมไป
"คุณโตโต้"
พอเหลือบไปเห็นอีกร่างก็ถึงกับสะอึก เพลามือแล้วปรี่เข้าไปประคองร่างของโตโต้ พอดีตำรวจขับรถมอร์เตอร์ไซค์มา
"ช่วยด้วยครับคุณตำรวจ ช่วยด้วยพี่ผมถูกยิง"
ภูมิบุญร้องขึ้นหน้าตาตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
"รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเสียเลือดมากกว่านี้"
"คุณตำรวจอย่าปล่อยมันไปนะครับ มันยิงพี่ผม"
ภูมิบุญร้องเหมือนคนบ้า เพียงอีกไม่กี่อึดใจเสียงรถหวอกับรถพยาบาลก็วิ่งกรูกันเข้ามา มีคนเจ็บจากการชนกันสองคน โตโต้กับภูมิบุญนั่งไปในรถพยาบาลกับตำรวจ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมันรวดเร็วเสียเหลือเกิน ถ้าหากว่ามือปืนยังถือปืนอยู่ในมือ ภูมิบุญคงเป็นอีกร่างที่นอนอยู่ข้างๆโตโต้ พอโมโหมากๆเขามองไม่เห็นอะไรเลย คิดแค่ว่าอยากจะจับตัวของคนคิดร้าย คิดแค่ว่ามันจะหนีไปไหนไม่ได้ เขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้เลย โกรธลมออกหูหน้ามืดตามัวไป
"พลอย พลอยเรามีอุบัติเหตู บอกทางบ้านให้ที"
"ภูมิๆ เป็นอะไร ภูมิ"
พอมีสติก็กดโทรศัพท์ไปหาพลอยทันที แต่พูดจาไม่รู้เรื่องน้ำเสียงเหมือนคนที่เสียจริตไป พลอยร้องออกมาเสียงดังหน้าซีด ลนลานทำอะไรไม่ถูกแต่พอตั้งสติได้ก็โทรสัพท์ไปแจ้งที่บ้านของโตโต้ ฝั่งนั้นแทบจะบินไปที่โรงพยาบาลทันที โตโต้เข้าห้องผ่าตัดไป เขาเสียเลือดมากพอสมควร แต่ภูมิบุญมีกรุ๊ปเลือดแตกต่างกันจึงให้เลือดไม่ได้ โชคยังดีที่ทางโรงพยาบาลมีเลือดสำรองโตโต้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่โดนลูกปืนถากที่ต้นแขนซ้าย
"ภูมิลูก"
เสียงคุณอภิสราร้องมาแต่ไกล จันทร์เองก็วิ่งเข้ามากอดลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่
"เกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น"
คุณอภิสราร้องออกมาน้ำตาคลอ จันทร์เองร้องไห้ไปก่อนแล้ว
"เป็นอะไรไหมลูก เจ็บตรงไหนไหม"
กอดจับตามหน้าตามหัว ภูมิบุญกัดปากแน่นส่ายหน้า
"ภูมิไม่เป็นอะไร แต่คุณโตโต้"
"พี่เขาเป็นอะไรลูก"
คุณอภิสรานั่งลงอีกข้าง สายตาที่คลอไปด้วยน้ำตาเบิกโพลงออกมา ภูมิบุญสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด รวบรวมสติ
"เราโดนดักยิง มันตั้งใจจะยิงภูมิ แต่คุณโตโต้ดึงตัวภูมิให้หลบ กระสุนเลยโดนที่แขนครับ"
"อะไรนะ"
"ตายแล้วใครมันช่างใจไม้ใส้ระกำกันขนาดนี้"
คุณอภิสรากับจันทร์ร้องขึ้นพร้อมกัน พอดีกับหมอเดินออกมาจากห้อง
"คุณหมอคะ ลูกดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ"
"อ้อ ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ กระสุนถากที่ต้นแขนซ้าย เรากำลังให้เลือดอยู่ครับ ไม่มีอะไรแล้ว"
คุณอภิสราตบหน้าอกตัวเองโล่งใจ
"ใครมันกล้าทำแบบนี้"
น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นห้วนดุขึ้นมาทันที
"พวกนั้นสินะ นี่ทำกันขนาดนี้เลยหรือ ดีเราจะได้เห็นดีกัน ฉันใจดีมามากแล้ว"
เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณอภิสรากัดฟันแสดงสีหน้าสีตาที่โกรธแค้นแบบนี้ออกมา ความเย็นชาโหดร้ายมันเจืออยู่ทุกอณูของแววตานั้น ภูมิบุญยังสั่นตกใจอยู่ จันทร์เองก็กอดปลอบลูกชายอยู่ คุณอภิสราเดินเข้าไปดูลูกชาย
"โห มากันทุกคนเลยเหรอครับแม่ โต้ไม่เป็นไรหรอกแค่ถากๆ"
ยิ้มออกมาล้อเล่นอยู่ คุณอภิสราไม่ได้ล้อเล่นด้วย
"ไม่เป็นไรใช่ไหมตาโต้ แม่ตกใจหมด"
"ผมดวงแข็งครับแม่ แต่ภูมิน่ะ แม่บอกหน่อยนะว่าอย่าบ้าบิ่นมากนัก โต้ใจหาย ใจกล้ามากนะเราภูมิ"
โตโต้พูดยิ้มๆหันมามองที่ภูมิบุญที่หน้าตายังตื่นกลัวอยู่
"น้องทำอะไรตาโต้"
"ก็น้องน่ะแม่ วิ่งออกไปเอาหมวกกันน็อคตีมือปืนหัวแตกไปไม่เป็นเลยทั้งสองคน ตกใจแทบแย่"
"ตายแล้ว ทำไมทำแบบนั้นลูก ตาย ถ้ามันมีปืนทำยังไง ทำไมทำแบบนั้น"
เสียงสูงพุ่งขึ้นหันมาจับตัวภูมิบุญ คุณอภิสราน้ำตาไหลออกมา จันทร์เองนิ่งอึ้งอยู่ไม่กระดิกตัว
"ทำไมคิดแบบนั้นลูก ไม่ได้นะถ้าภูมิเป็นอะไรไปจะทำยังไง ตายแล้ว ขวัญเอ๋ยขวัญมา"
ดึงตัวภูมิบุญเข้ามากอด เหมือนไปกระตุ้นให้สิ่งเร้าในใจทำงานเพิ่มมากขึ้น ความตกใจที่สะสมอยู่พุ่งออกมา ภูมิบุญปล่อยเขื่อนน้ำตาให้ไหลออกมา โตโต้อึ้งมองคนตัวเล็กที่กอดมารดาของตนร้องไห้อยู่อย่างเวทนา กว่าที่ภูมิบุญจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร พอตำรวจเข้ามาสอบปากคำคุณอภิสรากับจันทร์ก็ออกไปจากห้อง พอตำรวจกลับไปโตโต้ก็ระบายลมหายใจออกมา
"วันนี้ก็ต้องเลื่อนการประชุมออกไปสินะ"
"ไม่ได้นะครับ ยิ่งเลื่อนออกไปพวกมันก็ไหวตัวทันแล้ว ผมไหวเดี๋ยวผมไปประชุมเอง"
"ภูมิ แน่ใจเหรอ"
"แม่ไปด้วย ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว นี่มันจงใจฆ่ากันชัดๆ คนแบบนี้สักแดงเดียวก็ไม่ให้ แม่จะลากมันเข้าคุกให้หมดคนที่เกี่ยวข้อง"
คุณอภิสราเดินเข้ามาพอได้ยินก็ทำสายตาเกรี้ยวกราด เห็นดีเห็นงามไปกับภูิบุญ โตโต้จึงนิ่งอยู่ไม่ได้ว่าอะไร
"คุณน้อย รู้เรื่องหรือยังคะว่าคุณโตโต้ถูกลอบยิง"
แพรกดโทรศัพท์ไปหาน้อย ทั้งที่รายนั้นรู้ตัวดีอยู่แล้ว
"ตายจริง จริงเหรอคะน้องแพร ใครกันช่างกล้า"
"แหม พี่น้อยคะ ทำน่ะน่าจะจ้างคนที่มันโปรกว่านี้หน่อยนะคะ เท่าที่รู้มาโดนแบบถากๆนะคะ"
"หมายความว่ายังไงน้องแพร พี่ไม่รู้เรื่องด้วยนะ พูดแบบนี้พี่เสียหายนะคะ"
"แหมใครทำมันก็รู้ดีอยู่แก่ใจนะคะ"
น้อยกดวางสายทันที ใบหน้าครุ่นคิดขึ้นมาทันที ในใจก็เต้นแรง นี่ก้าวพลาดไปเหรอ ตั้งใจจะจัดการไอ้คนที่เพิ่งเข้ามา แต่ทำไมมันไปพลาดแบบนั้นได้นะ เธอกัดปากมือเริ่มสั่น
"คุณน้อยคะ มีเรียกประชุมด่วนตอนนี้ค่ะที่บอร์ดรูม"
มือขวาเดินเข้ามาบอก น้อยสะดุ้งตกใจจนแทบจะตกเก้าอี้
"มีอะไรด่วนอ้อม"
"ไม่ทราบค่ะ ทางออฟฟิศสั่งลงมา ให้พร้อมกันที่บอร์ดภายในสิบนาที คุณน้อยไปค่ะ พวกนั้นคงไม่รู้หรอกว่าใครบงการ"
คำสั่งด่วนจากฝ่ายออฟฟิศคือคำสั่งที่เด็ดขาด เคยมีขึ้นครั้งที่จับคนโกงเมื่อคราวคุณอภิสราอยู่ที่นี่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีขึ้นอีกเลย หน้าของน้อยซีดจนไม่มีเลือดอยู่บนใบหน้า
"หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องทุจริตนะครับคุณน้อย"
หัวหน้าแผนกจัดซื้อเดินมากระซิบถามสีหน้าไม่ต่างกันเลย น้อยได้แต่เม้มปากแน่นไม่ตอบ ทุกคนรออยู่แล้วในห้องประชุม สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดเพราะทราบข่าวเรื่องการปองร้ายโตโต้กับภูมิบุญ เมื่อเช้าแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังแว่วมาไม่ขาดสาย พอน้อยกับสุรพลที่เดินเคียงคู่เข้ามาในห้องด้วยกัน หลายสายตาก็มองจับจ้องมา แววตาที่ฉายออกมาหลากหลายความหมาย ทั้งห่วงใยทั้งสาแก่ใจ น้อยก้มหน้าลงมือไม้เริ่มสั่น
"ภูมิ ภูมิเป็นอะไรไหม ภูมิ"
พอเห็นหน้าของภูมิบุญพลอยก็ร้องออกมาหน้าซีดยังไม่หาย ภูมิบุญส่ายหน้า
"สวัสดีค่ะคุณท่าน ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ"
พลอยหันไปทำความเคารพผู้เป็นเจ้าของบริษัท รายนั้นหน้าตานิ่งเฉยเหมือนกำลังพยายามรวบรวมสมาธิอยู่
"คุณอนิรุธ พร้อมแล้วใช่ไหมคะ"
"ครับคุณท่าน เอกสารพร้อมแล้วครับ"
"ดีค่ะ งั้นเราเข้าไปกันเลย"
"เอ่อ คุณท่านครับ ถ้าคุณอนิรุธเข้าไปตอนนี้พวกนั้นจะรู้ตัวกันก่อนนะครับ"
"รอไม่ได้หรอกภูมิ ฟันก็ฟันให้ขาด ป้าไม่ยอมแล้ว"
น้ำเสียงที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวสายตามองไปเบื้องหน้า
"ครับ ภูมิเข้าใจดีครับคุณท่าน แต่ภูมิขออนุญาตจัดการเรื่องนี้เองได้ไหมครับ เพราะคนที่เขาหมายจะทำร้ายคือภูมิ ไม่ใช่คุณโตโต้ อีกอย่างถ้าบอกไปตอนนี้มันเหมือนพวกนั้นจะทำใจง่ายเกินไป ภูมิอยากให้เขารู้สึกอย่างที่ภูมิรู้สึก"
เป็นครั้งแรกที่ภูมิบุญแย้งคนเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน คุณอภิสราหยุดคิดแล้วหันมามองภูมิ
"ภูมิ โอเคไหมลูก"
"ครับ คนที่คุณท่านไว้วางใจให้ทำงาน แต่กลับทำแบบนี้ตอบแทน มันง่ายไปครับที่จะทำให้เขาแค่รับรู้ว่าโทษของเขามันคืออะไร เราต้องให้เขารู้ถึงความรู้สึกด้วยครับว่าเราเองรู้สึกยังไงที่ถ้าหากว่าวาง ใจใครสักคนแล้วเขาทำให้เราผิดหวัง"
"ภูมิ"
ได้แต่ร้องออกมามองหน้าภูมิบุญ สายตาของภูมิบุญนิ่งเย็นเฉียบ คุณอภิสราจับแขนของภูมิบุญไว้
"พลอย ตามตำรวจให้ด้วย รอเข้าไปพร้อมกับคุณอนิรุธ เดี๋ยวเราให้สัญญาณ"
ภูมิบุญหันไปบอกพลอย คุณอภิสราได้แต่ถอนหายใจ
"ตามใจเราละกัน ป้าจะเข้าไปด้วย อยากดูซิน้ำหน้าคนขี้โกง"
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุม พลอยเอกก็ถือเอกสารตามเข้าไป พอเห็นหน้าคุณอภิสราทุกคนถึงกับหน้าซีดตกใจกันเป็นแถบ
"คุณท่าน"
"ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ที่เรียกประชุมด่วน ทำให้ตกใจกันหมดเลย"
คุณอภิสรานั่งลงแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ สายตากวาดมองไปทุกคน ทุกคนหลบตาเริ่มเหงื่อซึม ตามฝ่ามือ
"ภูมิ เริ่มได้แล้วลูก"
หันไปบอกภูมิบุญที่นั่งอยู่ข้างๆ
"ครับ อย่างที่คุณท่านแจ้งไปว่าทางเราขอโทษทุกคนด้วยที่นักประชุมด่วน แต่เนื่องด้วยมีเรื่องด่วนเช่นกัน รบกวนเวลาการทำงานของทุกคนไม่นานนักหรอกนะครับ เรื่องประชุมก็การจัดงานเปิดตัวรีสอร์ทของเราที่เชียงใหม่ ตอนนี้แผนงานที่เรากำลังพิจารณามีอยู่สองแผนงานนะครับ ส่วนจะเลือกแผนงานไหนนั้นต้องรอประชุมอีกรอบวันพฤหัสฯนี้"
ภูมิบุญพูดน้ำเสียงเรียบราบ มีเสียงถอนหายใจออกมา สีหน้าของน้อยปิดไม่มิดสีหน้าที่เหนื่อยหน่ายกับเรื่องที่ได้ยิน แม้จะเกรงคนที่นั่งหัวโต๊ะอยู่ก็ตาม แต่ด้วยห้องประชุมมันเงียบ พอถอนหายใจออกมาทุกสายตาก็มองจ้องไปที่เธอ
"เอ่อ"
"ไม่เป็นไรครับเรื่องนี้คงน่าเบื่อ แต่ที่เรียกประชุมด่วนไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะครับ คือทางเราทราบมาว่ามีการทุจริตในองค์กรของเรา เริ่มตั้งแต่โครงการที่เขาค้อเรื่อยมา ทางเราบกพร่องอะไรหรือเปล่าครับ มีใครน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องเกี่ยวกับงานบ้างไหมครับ อยากจะบอกทุกคนนะครับว่าทางเราผิดหวังมาก ไว้วางใจทุกท่านที่ร่วมงาน แต่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าคนที่ทำเขาคิดกันยังไง"
ภูมิบุญเริ่มเพิ่มน้ำหนักเสียงสายตามองจ้องไปทุกคน
"ใครกันคะที่กล้าทำเรื่องแบบนั้น"
แพรร้องขึ้น ทำหน้ารังเกียจกับสิ่งที่ได้ยิน ภูมิบุญยกริมฝีปากขึ้น
"ไม่เป็นไรครับ โกงได้เราก็เอาคืนได้ และต่อจากนี้เราหวังว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนให้กับทุกคน"
"แล้วใครล่ะครับที่โกง น้องภูมิบอกมาเลยครับ พี่ว่าคนโกงน่าจะบอกให้รู้เลย ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะอายหรอกครับ ตอนทำทำไมไม่อาย ตอนนี้รึจะมาอาย"
"ครับคุณอภิพงษ์ พลอยรบกวนแจกเอกสารหน่อย"
ภูมิบุญหันไปบอกพลอย พลอยเองก็พยักหน้าเดินแจกเอกสาร
"ทำไมพี่ไม่ได้ล่ะครับ น้องพลอย ข้ามพี่ไปนะ"
คุณอภิพงษ์ร้องขึ้นแล้วยิ้มออกมา
"อย่าอยากได้เลยค่ะ"
พลอยพูดแล้วยิ้มพอคนที่ได้แฟ้มเอกสารพลิกดูก็ถึงกับซีดมือสั่นทำอะไรไม่ถูก
"หมายศาล"
"ครับ ตามนั้นครับ คนที่ได้รับแฟ้มเอกสารคือคนที่โกง เราไม่ได้สงสัยนะครับ หลักฐานมันแน่นหนาเหลือเกิน"
"ไม่จริง ไม่จริงนะคะคุณท่าน น้อยทำงานมานานน้อยไม่มีทางโกง คุณท่านอย่าไปเชื่อเด็กเมื่อวานซืนคนนี้นะคะ เป็นแค่ลุกคนใช้กล้าดียังไง"
น้อยลุกขึ้นแสดงกริยาออกมา ร้องเสียงดัง
"พูดจบหรือยังน้อย ลูกคนใช้ที่เธอพูดถึงน่ะ คือคนที่ชั้นให้อำนาจ และกรุณาอย่ามาเรียกลูกหลานชั้นแบบนี้อีก ทุกอย่างชั้นเป็นคนตัดสินใจ ถ้าใครไม่เคารพยำเกรงกัน ก็เกรงว่าคงร่วมงานกันไม่ได้"
คุณอภิสราพูดขึ้นเสียงเรียบเฉย
"อ้อ อีกอย่างเรื่องเมื่อเช้า มือปืนสารภาพแล้วนะครับ พลอยเชิญคุณอนิรุธให้ที"
ภูมิบุญพูดออกมา พลอยเองยิ้มอย่างมีความสุข เดินออกไปนอกห้อง สักพักตำรวจกับคุณอนิรุธก็เข้ามาในห้อง
"ตำรวจ"
"เชิญคุณน้อยที่โรงพักด้วยครับ"
"ชั้นไม่รู้เรื่อง ชั้นไม่เกี่ยว อย่ามาปรักปรำชั้นนะ"
"เชิญที่โรงพักดีกว่าครับ เพราะคุณสายใจกับคุณอ้อมสารภาพหมดแล้ว"
หมดแรงทรุดลงกับที่ น้อยเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก เหงื่อไหล น้ำตาซึม อีกหลายคนที่นั่งอยู่ก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะแพร
"ไม่ต้องห่วงนะครับ คนที่โกงบริษัทไป เราขอคืนแค่สองเท่าเอง ถ้าหากว่าเงินนั้นมันแปรสภาพเป็นสินทรัพย์ไปแล้ว เราก็จะยึดทั้งหมดนะครับ อีกอย่างทุกคนที่ครอบครองเอกสารอยู่ในมือ คุณสิ้นสภาพของการเป็นพนักงานของที่นี่นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป"
"กรี๊ดดด"
แพรร้องออกมาเอามือซุกหน้าร้องไห้ออกมา ไม่มีใครสนใจ ภูมิบุญลุกขึ้นดึงแขนคุณอภิสราออกนอกห้องไป
"ภูมิกราบขอโทษคุณท่านนะครับที่ตัดสินใจเอง พูดเองทุกอย่าง"
ภูมิบุญก้มลงกราบที่อกของคุณอภิสรา
"ไม่เป็นไรลูก ภูมิเก่งมาก ป้าดีใจนะที่ภูมิโตเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว"
"ภูมิไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ระคายหูคุณท่านเลยนะครับ ภูมิเลยอยากจะจัดการเอง เพราะภูมิคนเดียวคุณโตโต้ถึงบาดเจ็บ"
"ไม่เอาลูก ไม่เอาอย่าพูดแแบบนี้ ไม่ว่าภูมิหรือโต้ถ้าใครเจ็บป้าก็เสียใจมากนะลูก"
คุณอภิสรากอดภูมิบุญไว้แน่น คุณอภิสรากลับไปหาโตโต้ที่โรงพยาบาลเพราะยังเป็นห่วงอยู่มาก ส่วนภูมิบุญอยู่คุยกับคุณอนิรุธต่อ
"ดีใจด้วยนะคะน้องภูมิ"
เสียงดังมาจากประตู เมย์นั่นเอง
"มีธุระอะไรครับคุณเมย์"
"พี่มาแสดงความยินดีค่ะ กว่าจะจบเรื่องพี่ต้องตอแหลแทบตาย เหนื่อยมากค่ะ"
เมย์ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ไม่เคยเห็น มันไม่มีจริตเหมือนก่อน หน้าตาเธอก็ไม่แต่งเข้มจัดเช่นเคย
"หมายความว่ายังไงครับ"
"เอ่อ น้องภูมิครับ สายของคุณโตโต้ก็คุณเมย์นี่ล่ะครับ เราคุยกันมานานแล้ว เมย์อาสา เพราะเห็นว่าน้องภูมิจะมาเป็นผู้ช่วย จึงแทรกเข้าไปในสายของแพร"
คุณอนิรุธพูดออกมายิ้มให้กับเมย์
"หมายความว่า"
"ใช่ค่ะน้องภูมิ ที่ผ่านมาพี่ขอโทษด้วยนะคะ ที่แสดงละครเกินจริงไปหน่อย พอดีพี่อินน่ะค่ะ ยิ่งน้องพลอยนะ แหมว่าอะไรพี่พี่ไม่ถือนะคะ แต่ว่าพี่ไม่สวยนี่ ไม่ยอมค่ะเลือดเลยขึ้นหน้านิดนึง ไม่ว่ากันนะคะ"
ภูมิบุญทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะยิ้มหรือทำหน้าเศร้าดี นี่โตโต้แยบยลขนาดนี้เชียวหรือ เห็นท่าทางเขาแบบนั้นเขาไม่ใช่คนโง่เลย ภูมิบุญมองเขาผิดไปจริงๆ
โตโต้ถามภูมิบุญระหว่างไปทำงาน สายตายังจับจ้องที่ถนนใหญ่เบื้องหน้าท่าทางของเขาดูสดชื่นขึ้นมาบ้างแล้ว
"ก็แผนงานนำเสนอน่ะครับ พอดีโทรไปถามคุณโตโต้ก่อน จึงยังไม่ได้เซ็น"
"ร้ายจริงๆ นี่กะจะเล่นตอนที่พี่ไม่อยู่ล่ะสินะ ดี"
โตโต้กัดกรามกรอด
"วันนี้พี่จะเรียกประชุมด่วน"
"แล้วหลักฐาน หมายศาลล่ะครับ"
"หมายศาลมาแล้ว มีคนโทรมาบอกพี่เมื่อเช้า พอดีคุณอนิรุธเขาวานเพื่อนเขาเร่งให้น่ะ พี่ว่าถ้ายิ่งปล่อยไว้นานเดี๋ยวพวกมันไหวตัวทัน เอาให้หงายหลังไปเลย"
โตโต้แสยะยิ้มออกมา
"เมื่อวาน คุณสายใจก็มาขอกุญแจห้องเก็บเอกสาร ถ้าผมคิดไม่ผิด คิดว่าฝ่ายโน้นน่าจะไหวตัวแล้ว คงคิดจะเอาเอกสารไปทำลาย เพราะเห็นแม่บ้านบอกพลอยว่าคุณสายใจให้เรียกคนรับซื้อของเก่าเข้ามา"
"จริงเหรอภูมิ แล้วมันได้เอกสารไปไหม"
"คงได้ล่ะครับ แต่เอกสารที่เขาต้องการคงจะไม่ได้ไป เพราะผมให้ลุงหมายขนมาไว้ที่ห้องเก็บของที่บ้านหมดแล้ว"
โตโต้หันมายิ้มกริ่ม
"ฉลาดมากภูมิ ดีใจจริงๆนะที่เรามาช่วยงานพี่ ถ้าเรื่องเสร็จไปด้วยดีเราอยากได้อะไร เดี๋ยวพี่หาให้"
"ผมไม่ได้อยากได้อะไรหรอกครับคุณโตโต้ ผมแค่อยากจะตอบแทนคุณท่านที่เมตตาผมกับแม่"
ภูมิบุญพูดเสียงเรียบมองออกไปนอกถนน
"เอ๊ะ ทำไมมอเตอร์ไซค์คันนี้ตามเรามาตลอดเลยครับ ผมเห็นตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว"
พอมองออกไปนอกรถสายตาก็ไปตกอยู่ที่กระจกมองหลัง รถมอร์เตอร์ไซค์คันใหญ่มีคนนั่งมาสองคนใส่หมวกกันน็อคสีดำมะเมื่อมขับคอยตามอยู่ตลอดเวลา พอโตโต้เห็นรถมอร์เตอร์ไซค์ก็ขับเร็วขึ้น จนมาขนาบข้างอยู่ทางฝั่งของภูมิบุญ
"ภูมิระวัง"
โตโต้ร้องออกมา หักพวงมาลัยทันที เขาเอามือผลักตัวภูมิบุญให้ก้มไปข้างหน้า
"ปัง!"
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น โตโต้หักรถปาดหน้ารถมอร์เตอร์ไซค์จนเขาเสียหลักไถลไปกับพื้น
"เอี๊ยด!!!!"
"ภูมิๆ ภูมิเป็นอะไรไหม"
"โครม!!"
เสียงรถที่วิ่งตามมาชนกันเป็นระนาว ภูมิบุญหูชาไปหน้าซีด
"ผมไม่เป็นอะไร คุณโตโต้ คุณโตโต้ถูกยิง"
เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากแขนของโตโต้ ภูมิบุญตกใจทำอะไรไม่ถูก
"ไม่เป็นไรพี่ยังไหว"
โตโต้พูดออกมา ภูมิบุญกัดปากแน่น
"ภูมิ อย่าออกไป ภูมิ"
ภูมิบุญปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวลงไปจากรถทันที ร่างสองร่างที่กำลังคลานอยู่กลางถนน เท้าของภูมิบุญก้าวไปเหยียบโดนปืน ไฟโทสะเข้าครอบงำหน้าของภูมิบุญแดงจัด เอาเท้าเขี่ยปืนให้ไถลเข้าไปในใต้ท้องรถ วิ่งกึ่งเดินปรี่เข้าไปหา ร่างของคนที่เป็นมือปืนกำลังลุกจะวิ่งหนีไป แต่อีกร่างเหมือนเจ็บหนักเพราะมีเลือดอาบอยู่ตามตัว มีแผลถลอกปอกเปิก ภูมิบุญถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่ง ปาไปใส่กลางหัวของร่างที่กำลังจะลุกวิ่งหนีไป ร่างนั้นขมำไปข้างหน้าเสียหลักล้มลง
"มึงจะไปไหน"
เสียงกร้าวแข็งดังไปทั่วท้องถนน ภูมิบุญวิ่งปรี่เข้าไป ดึงเอาหมวกกันน็อคออก พอมือคว้าได้หมวกกันน็อคก็กระหน่ำตีเข้าที่หัว จนเลือดของมือปืนไหลอาบออกมา ส่วนอีกคนพยายามจะคลานหนี
"กูไปทำอะไรให้มึง ทำไม"
ตีไปตวาดไป พอเหลือบไปเห็นอีกร่างที่กำลังจะคลานหนีก็ถลาเข้าไปหาจับหัวให้โขกกับพื้นทั้งที่ยังใส่หมวกกันน็อคอยู่จนหมวกแตก ภูมิบุญง้างมือเอาหมวกกันน็อคฟาดอีก
"ภูมิ พอแล้วภูมิ"
โตโต้คลานออกมาจากรถ อึ้งตกใจไม่คิดว่าภูมิบุญจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ ไม่เคยคิด พอมีสติก็รีบลงมาจากรถ แต่เนื่องด้วยเริ่มเจ็บแขนเลือดก็ไหลออกมากเขาจึงเหมือนจะเป็นลมไป
"คุณโตโต้"
พอเหลือบไปเห็นอีกร่างก็ถึงกับสะอึก เพลามือแล้วปรี่เข้าไปประคองร่างของโตโต้ พอดีตำรวจขับรถมอร์เตอร์ไซค์มา
"ช่วยด้วยครับคุณตำรวจ ช่วยด้วยพี่ผมถูกยิง"
ภูมิบุญร้องขึ้นหน้าตาตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
"รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเสียเลือดมากกว่านี้"
"คุณตำรวจอย่าปล่อยมันไปนะครับ มันยิงพี่ผม"
ภูมิบุญร้องเหมือนคนบ้า เพียงอีกไม่กี่อึดใจเสียงรถหวอกับรถพยาบาลก็วิ่งกรูกันเข้ามา มีคนเจ็บจากการชนกันสองคน โตโต้กับภูมิบุญนั่งไปในรถพยาบาลกับตำรวจ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมันรวดเร็วเสียเหลือเกิน ถ้าหากว่ามือปืนยังถือปืนอยู่ในมือ ภูมิบุญคงเป็นอีกร่างที่นอนอยู่ข้างๆโตโต้ พอโมโหมากๆเขามองไม่เห็นอะไรเลย คิดแค่ว่าอยากจะจับตัวของคนคิดร้าย คิดแค่ว่ามันจะหนีไปไหนไม่ได้ เขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้เลย โกรธลมออกหูหน้ามืดตามัวไป
"พลอย พลอยเรามีอุบัติเหตู บอกทางบ้านให้ที"
"ภูมิๆ เป็นอะไร ภูมิ"
พอมีสติก็กดโทรศัพท์ไปหาพลอยทันที แต่พูดจาไม่รู้เรื่องน้ำเสียงเหมือนคนที่เสียจริตไป พลอยร้องออกมาเสียงดังหน้าซีด ลนลานทำอะไรไม่ถูกแต่พอตั้งสติได้ก็โทรสัพท์ไปแจ้งที่บ้านของโตโต้ ฝั่งนั้นแทบจะบินไปที่โรงพยาบาลทันที โตโต้เข้าห้องผ่าตัดไป เขาเสียเลือดมากพอสมควร แต่ภูมิบุญมีกรุ๊ปเลือดแตกต่างกันจึงให้เลือดไม่ได้ โชคยังดีที่ทางโรงพยาบาลมีเลือดสำรองโตโต้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่โดนลูกปืนถากที่ต้นแขนซ้าย
"ภูมิลูก"
เสียงคุณอภิสราร้องมาแต่ไกล จันทร์เองก็วิ่งเข้ามากอดลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่
"เกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น"
คุณอภิสราร้องออกมาน้ำตาคลอ จันทร์เองร้องไห้ไปก่อนแล้ว
"เป็นอะไรไหมลูก เจ็บตรงไหนไหม"
กอดจับตามหน้าตามหัว ภูมิบุญกัดปากแน่นส่ายหน้า
"ภูมิไม่เป็นอะไร แต่คุณโตโต้"
"พี่เขาเป็นอะไรลูก"
คุณอภิสรานั่งลงอีกข้าง สายตาที่คลอไปด้วยน้ำตาเบิกโพลงออกมา ภูมิบุญสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด รวบรวมสติ
"เราโดนดักยิง มันตั้งใจจะยิงภูมิ แต่คุณโตโต้ดึงตัวภูมิให้หลบ กระสุนเลยโดนที่แขนครับ"
"อะไรนะ"
"ตายแล้วใครมันช่างใจไม้ใส้ระกำกันขนาดนี้"
คุณอภิสรากับจันทร์ร้องขึ้นพร้อมกัน พอดีกับหมอเดินออกมาจากห้อง
"คุณหมอคะ ลูกดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ"
"อ้อ ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ กระสุนถากที่ต้นแขนซ้าย เรากำลังให้เลือดอยู่ครับ ไม่มีอะไรแล้ว"
คุณอภิสราตบหน้าอกตัวเองโล่งใจ
"ใครมันกล้าทำแบบนี้"
น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นห้วนดุขึ้นมาทันที
"พวกนั้นสินะ นี่ทำกันขนาดนี้เลยหรือ ดีเราจะได้เห็นดีกัน ฉันใจดีมามากแล้ว"
เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณอภิสรากัดฟันแสดงสีหน้าสีตาที่โกรธแค้นแบบนี้ออกมา ความเย็นชาโหดร้ายมันเจืออยู่ทุกอณูของแววตานั้น ภูมิบุญยังสั่นตกใจอยู่ จันทร์เองก็กอดปลอบลูกชายอยู่ คุณอภิสราเดินเข้าไปดูลูกชาย
"โห มากันทุกคนเลยเหรอครับแม่ โต้ไม่เป็นไรหรอกแค่ถากๆ"
ยิ้มออกมาล้อเล่นอยู่ คุณอภิสราไม่ได้ล้อเล่นด้วย
"ไม่เป็นไรใช่ไหมตาโต้ แม่ตกใจหมด"
"ผมดวงแข็งครับแม่ แต่ภูมิน่ะ แม่บอกหน่อยนะว่าอย่าบ้าบิ่นมากนัก โต้ใจหาย ใจกล้ามากนะเราภูมิ"
โตโต้พูดยิ้มๆหันมามองที่ภูมิบุญที่หน้าตายังตื่นกลัวอยู่
"น้องทำอะไรตาโต้"
"ก็น้องน่ะแม่ วิ่งออกไปเอาหมวกกันน็อคตีมือปืนหัวแตกไปไม่เป็นเลยทั้งสองคน ตกใจแทบแย่"
"ตายแล้ว ทำไมทำแบบนั้นลูก ตาย ถ้ามันมีปืนทำยังไง ทำไมทำแบบนั้น"
เสียงสูงพุ่งขึ้นหันมาจับตัวภูมิบุญ คุณอภิสราน้ำตาไหลออกมา จันทร์เองนิ่งอึ้งอยู่ไม่กระดิกตัว
"ทำไมคิดแบบนั้นลูก ไม่ได้นะถ้าภูมิเป็นอะไรไปจะทำยังไง ตายแล้ว ขวัญเอ๋ยขวัญมา"
ดึงตัวภูมิบุญเข้ามากอด เหมือนไปกระตุ้นให้สิ่งเร้าในใจทำงานเพิ่มมากขึ้น ความตกใจที่สะสมอยู่พุ่งออกมา ภูมิบุญปล่อยเขื่อนน้ำตาให้ไหลออกมา โตโต้อึ้งมองคนตัวเล็กที่กอดมารดาของตนร้องไห้อยู่อย่างเวทนา กว่าที่ภูมิบุญจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร พอตำรวจเข้ามาสอบปากคำคุณอภิสรากับจันทร์ก็ออกไปจากห้อง พอตำรวจกลับไปโตโต้ก็ระบายลมหายใจออกมา
"วันนี้ก็ต้องเลื่อนการประชุมออกไปสินะ"
"ไม่ได้นะครับ ยิ่งเลื่อนออกไปพวกมันก็ไหวตัวทันแล้ว ผมไหวเดี๋ยวผมไปประชุมเอง"
"ภูมิ แน่ใจเหรอ"
"แม่ไปด้วย ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว นี่มันจงใจฆ่ากันชัดๆ คนแบบนี้สักแดงเดียวก็ไม่ให้ แม่จะลากมันเข้าคุกให้หมดคนที่เกี่ยวข้อง"
คุณอภิสราเดินเข้ามาพอได้ยินก็ทำสายตาเกรี้ยวกราด เห็นดีเห็นงามไปกับภูิบุญ โตโต้จึงนิ่งอยู่ไม่ได้ว่าอะไร
"คุณน้อย รู้เรื่องหรือยังคะว่าคุณโตโต้ถูกลอบยิง"
แพรกดโทรศัพท์ไปหาน้อย ทั้งที่รายนั้นรู้ตัวดีอยู่แล้ว
"ตายจริง จริงเหรอคะน้องแพร ใครกันช่างกล้า"
"แหม พี่น้อยคะ ทำน่ะน่าจะจ้างคนที่มันโปรกว่านี้หน่อยนะคะ เท่าที่รู้มาโดนแบบถากๆนะคะ"
"หมายความว่ายังไงน้องแพร พี่ไม่รู้เรื่องด้วยนะ พูดแบบนี้พี่เสียหายนะคะ"
"แหมใครทำมันก็รู้ดีอยู่แก่ใจนะคะ"
น้อยกดวางสายทันที ใบหน้าครุ่นคิดขึ้นมาทันที ในใจก็เต้นแรง นี่ก้าวพลาดไปเหรอ ตั้งใจจะจัดการไอ้คนที่เพิ่งเข้ามา แต่ทำไมมันไปพลาดแบบนั้นได้นะ เธอกัดปากมือเริ่มสั่น
"คุณน้อยคะ มีเรียกประชุมด่วนตอนนี้ค่ะที่บอร์ดรูม"
มือขวาเดินเข้ามาบอก น้อยสะดุ้งตกใจจนแทบจะตกเก้าอี้
"มีอะไรด่วนอ้อม"
"ไม่ทราบค่ะ ทางออฟฟิศสั่งลงมา ให้พร้อมกันที่บอร์ดภายในสิบนาที คุณน้อยไปค่ะ พวกนั้นคงไม่รู้หรอกว่าใครบงการ"
คำสั่งด่วนจากฝ่ายออฟฟิศคือคำสั่งที่เด็ดขาด เคยมีขึ้นครั้งที่จับคนโกงเมื่อคราวคุณอภิสราอยู่ที่นี่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีขึ้นอีกเลย หน้าของน้อยซีดจนไม่มีเลือดอยู่บนใบหน้า
"หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องทุจริตนะครับคุณน้อย"
หัวหน้าแผนกจัดซื้อเดินมากระซิบถามสีหน้าไม่ต่างกันเลย น้อยได้แต่เม้มปากแน่นไม่ตอบ ทุกคนรออยู่แล้วในห้องประชุม สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดเพราะทราบข่าวเรื่องการปองร้ายโตโต้กับภูมิบุญ เมื่อเช้าแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังแว่วมาไม่ขาดสาย พอน้อยกับสุรพลที่เดินเคียงคู่เข้ามาในห้องด้วยกัน หลายสายตาก็มองจับจ้องมา แววตาที่ฉายออกมาหลากหลายความหมาย ทั้งห่วงใยทั้งสาแก่ใจ น้อยก้มหน้าลงมือไม้เริ่มสั่น
"ภูมิ ภูมิเป็นอะไรไหม ภูมิ"
พอเห็นหน้าของภูมิบุญพลอยก็ร้องออกมาหน้าซีดยังไม่หาย ภูมิบุญส่ายหน้า
"สวัสดีค่ะคุณท่าน ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ"
พลอยหันไปทำความเคารพผู้เป็นเจ้าของบริษัท รายนั้นหน้าตานิ่งเฉยเหมือนกำลังพยายามรวบรวมสมาธิอยู่
"คุณอนิรุธ พร้อมแล้วใช่ไหมคะ"
"ครับคุณท่าน เอกสารพร้อมแล้วครับ"
"ดีค่ะ งั้นเราเข้าไปกันเลย"
"เอ่อ คุณท่านครับ ถ้าคุณอนิรุธเข้าไปตอนนี้พวกนั้นจะรู้ตัวกันก่อนนะครับ"
"รอไม่ได้หรอกภูมิ ฟันก็ฟันให้ขาด ป้าไม่ยอมแล้ว"
น้ำเสียงที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวสายตามองไปเบื้องหน้า
"ครับ ภูมิเข้าใจดีครับคุณท่าน แต่ภูมิขออนุญาตจัดการเรื่องนี้เองได้ไหมครับ เพราะคนที่เขาหมายจะทำร้ายคือภูมิ ไม่ใช่คุณโตโต้ อีกอย่างถ้าบอกไปตอนนี้มันเหมือนพวกนั้นจะทำใจง่ายเกินไป ภูมิอยากให้เขารู้สึกอย่างที่ภูมิรู้สึก"
เป็นครั้งแรกที่ภูมิบุญแย้งคนเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน คุณอภิสราหยุดคิดแล้วหันมามองภูมิ
"ภูมิ โอเคไหมลูก"
"ครับ คนที่คุณท่านไว้วางใจให้ทำงาน แต่กลับทำแบบนี้ตอบแทน มันง่ายไปครับที่จะทำให้เขาแค่รับรู้ว่าโทษของเขามันคืออะไร เราต้องให้เขารู้ถึงความรู้สึกด้วยครับว่าเราเองรู้สึกยังไงที่ถ้าหากว่าวาง ใจใครสักคนแล้วเขาทำให้เราผิดหวัง"
"ภูมิ"
ได้แต่ร้องออกมามองหน้าภูมิบุญ สายตาของภูมิบุญนิ่งเย็นเฉียบ คุณอภิสราจับแขนของภูมิบุญไว้
"พลอย ตามตำรวจให้ด้วย รอเข้าไปพร้อมกับคุณอนิรุธ เดี๋ยวเราให้สัญญาณ"
ภูมิบุญหันไปบอกพลอย คุณอภิสราได้แต่ถอนหายใจ
"ตามใจเราละกัน ป้าจะเข้าไปด้วย อยากดูซิน้ำหน้าคนขี้โกง"
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุม พลอยเอกก็ถือเอกสารตามเข้าไป พอเห็นหน้าคุณอภิสราทุกคนถึงกับหน้าซีดตกใจกันเป็นแถบ
"คุณท่าน"
"ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ที่เรียกประชุมด่วน ทำให้ตกใจกันหมดเลย"
คุณอภิสรานั่งลงแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ สายตากวาดมองไปทุกคน ทุกคนหลบตาเริ่มเหงื่อซึม ตามฝ่ามือ
"ภูมิ เริ่มได้แล้วลูก"
หันไปบอกภูมิบุญที่นั่งอยู่ข้างๆ
"ครับ อย่างที่คุณท่านแจ้งไปว่าทางเราขอโทษทุกคนด้วยที่นักประชุมด่วน แต่เนื่องด้วยมีเรื่องด่วนเช่นกัน รบกวนเวลาการทำงานของทุกคนไม่นานนักหรอกนะครับ เรื่องประชุมก็การจัดงานเปิดตัวรีสอร์ทของเราที่เชียงใหม่ ตอนนี้แผนงานที่เรากำลังพิจารณามีอยู่สองแผนงานนะครับ ส่วนจะเลือกแผนงานไหนนั้นต้องรอประชุมอีกรอบวันพฤหัสฯนี้"
ภูมิบุญพูดน้ำเสียงเรียบราบ มีเสียงถอนหายใจออกมา สีหน้าของน้อยปิดไม่มิดสีหน้าที่เหนื่อยหน่ายกับเรื่องที่ได้ยิน แม้จะเกรงคนที่นั่งหัวโต๊ะอยู่ก็ตาม แต่ด้วยห้องประชุมมันเงียบ พอถอนหายใจออกมาทุกสายตาก็มองจ้องไปที่เธอ
"เอ่อ"
"ไม่เป็นไรครับเรื่องนี้คงน่าเบื่อ แต่ที่เรียกประชุมด่วนไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะครับ คือทางเราทราบมาว่ามีการทุจริตในองค์กรของเรา เริ่มตั้งแต่โครงการที่เขาค้อเรื่อยมา ทางเราบกพร่องอะไรหรือเปล่าครับ มีใครน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องเกี่ยวกับงานบ้างไหมครับ อยากจะบอกทุกคนนะครับว่าทางเราผิดหวังมาก ไว้วางใจทุกท่านที่ร่วมงาน แต่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าคนที่ทำเขาคิดกันยังไง"
ภูมิบุญเริ่มเพิ่มน้ำหนักเสียงสายตามองจ้องไปทุกคน
"ใครกันคะที่กล้าทำเรื่องแบบนั้น"
แพรร้องขึ้น ทำหน้ารังเกียจกับสิ่งที่ได้ยิน ภูมิบุญยกริมฝีปากขึ้น
"ไม่เป็นไรครับ โกงได้เราก็เอาคืนได้ และต่อจากนี้เราหวังว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนให้กับทุกคน"
"แล้วใครล่ะครับที่โกง น้องภูมิบอกมาเลยครับ พี่ว่าคนโกงน่าจะบอกให้รู้เลย ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะอายหรอกครับ ตอนทำทำไมไม่อาย ตอนนี้รึจะมาอาย"
"ครับคุณอภิพงษ์ พลอยรบกวนแจกเอกสารหน่อย"
ภูมิบุญหันไปบอกพลอย พลอยเองก็พยักหน้าเดินแจกเอกสาร
"ทำไมพี่ไม่ได้ล่ะครับ น้องพลอย ข้ามพี่ไปนะ"
คุณอภิพงษ์ร้องขึ้นแล้วยิ้มออกมา
"อย่าอยากได้เลยค่ะ"
พลอยพูดแล้วยิ้มพอคนที่ได้แฟ้มเอกสารพลิกดูก็ถึงกับซีดมือสั่นทำอะไรไม่ถูก
"หมายศาล"
"ครับ ตามนั้นครับ คนที่ได้รับแฟ้มเอกสารคือคนที่โกง เราไม่ได้สงสัยนะครับ หลักฐานมันแน่นหนาเหลือเกิน"
"ไม่จริง ไม่จริงนะคะคุณท่าน น้อยทำงานมานานน้อยไม่มีทางโกง คุณท่านอย่าไปเชื่อเด็กเมื่อวานซืนคนนี้นะคะ เป็นแค่ลุกคนใช้กล้าดียังไง"
น้อยลุกขึ้นแสดงกริยาออกมา ร้องเสียงดัง
"พูดจบหรือยังน้อย ลูกคนใช้ที่เธอพูดถึงน่ะ คือคนที่ชั้นให้อำนาจ และกรุณาอย่ามาเรียกลูกหลานชั้นแบบนี้อีก ทุกอย่างชั้นเป็นคนตัดสินใจ ถ้าใครไม่เคารพยำเกรงกัน ก็เกรงว่าคงร่วมงานกันไม่ได้"
คุณอภิสราพูดขึ้นเสียงเรียบเฉย
"อ้อ อีกอย่างเรื่องเมื่อเช้า มือปืนสารภาพแล้วนะครับ พลอยเชิญคุณอนิรุธให้ที"
ภูมิบุญพูดออกมา พลอยเองยิ้มอย่างมีความสุข เดินออกไปนอกห้อง สักพักตำรวจกับคุณอนิรุธก็เข้ามาในห้อง
"ตำรวจ"
"เชิญคุณน้อยที่โรงพักด้วยครับ"
"ชั้นไม่รู้เรื่อง ชั้นไม่เกี่ยว อย่ามาปรักปรำชั้นนะ"
"เชิญที่โรงพักดีกว่าครับ เพราะคุณสายใจกับคุณอ้อมสารภาพหมดแล้ว"
หมดแรงทรุดลงกับที่ น้อยเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก เหงื่อไหล น้ำตาซึม อีกหลายคนที่นั่งอยู่ก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะแพร
"ไม่ต้องห่วงนะครับ คนที่โกงบริษัทไป เราขอคืนแค่สองเท่าเอง ถ้าหากว่าเงินนั้นมันแปรสภาพเป็นสินทรัพย์ไปแล้ว เราก็จะยึดทั้งหมดนะครับ อีกอย่างทุกคนที่ครอบครองเอกสารอยู่ในมือ คุณสิ้นสภาพของการเป็นพนักงานของที่นี่นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป"
"กรี๊ดดด"
แพรร้องออกมาเอามือซุกหน้าร้องไห้ออกมา ไม่มีใครสนใจ ภูมิบุญลุกขึ้นดึงแขนคุณอภิสราออกนอกห้องไป
"ภูมิกราบขอโทษคุณท่านนะครับที่ตัดสินใจเอง พูดเองทุกอย่าง"
ภูมิบุญก้มลงกราบที่อกของคุณอภิสรา
"ไม่เป็นไรลูก ภูมิเก่งมาก ป้าดีใจนะที่ภูมิโตเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว"
"ภูมิไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ระคายหูคุณท่านเลยนะครับ ภูมิเลยอยากจะจัดการเอง เพราะภูมิคนเดียวคุณโตโต้ถึงบาดเจ็บ"
"ไม่เอาลูก ไม่เอาอย่าพูดแแบบนี้ ไม่ว่าภูมิหรือโต้ถ้าใครเจ็บป้าก็เสียใจมากนะลูก"
คุณอภิสรากอดภูมิบุญไว้แน่น คุณอภิสรากลับไปหาโตโต้ที่โรงพยาบาลเพราะยังเป็นห่วงอยู่มาก ส่วนภูมิบุญอยู่คุยกับคุณอนิรุธต่อ
"ดีใจด้วยนะคะน้องภูมิ"
เสียงดังมาจากประตู เมย์นั่นเอง
"มีธุระอะไรครับคุณเมย์"
"พี่มาแสดงความยินดีค่ะ กว่าจะจบเรื่องพี่ต้องตอแหลแทบตาย เหนื่อยมากค่ะ"
เมย์ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ไม่เคยเห็น มันไม่มีจริตเหมือนก่อน หน้าตาเธอก็ไม่แต่งเข้มจัดเช่นเคย
"หมายความว่ายังไงครับ"
"เอ่อ น้องภูมิครับ สายของคุณโตโต้ก็คุณเมย์นี่ล่ะครับ เราคุยกันมานานแล้ว เมย์อาสา เพราะเห็นว่าน้องภูมิจะมาเป็นผู้ช่วย จึงแทรกเข้าไปในสายของแพร"
คุณอนิรุธพูดออกมายิ้มให้กับเมย์
"หมายความว่า"
"ใช่ค่ะน้องภูมิ ที่ผ่านมาพี่ขอโทษด้วยนะคะ ที่แสดงละครเกินจริงไปหน่อย พอดีพี่อินน่ะค่ะ ยิ่งน้องพลอยนะ แหมว่าอะไรพี่พี่ไม่ถือนะคะ แต่ว่าพี่ไม่สวยนี่ ไม่ยอมค่ะเลือดเลยขึ้นหน้านิดนึง ไม่ว่ากันนะคะ"
ภูมิบุญทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะยิ้มหรือทำหน้าเศร้าดี นี่โตโต้แยบยลขนาดนี้เชียวหรือ เห็นท่าทางเขาแบบนั้นเขาไม่ใช่คนโง่เลย ภูมิบุญมองเขาผิดไปจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)