วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากห้าสิบสี่

พอกลับถึงบ้านทำงานทุกอย่างเสร็จก็มาออนคอมพิวเตอร์รอแทนทวีแต่แทนทวีก็ไม่มาสักที ภูมิบุญจึงออฟไลน์ข้อความไปหาในเมจเซ็นเจอร์

"เรียนหนักใช่ไหมครับพี่แทน ภูมิเป็นห่วงพี่แทนนะครับ รักษาสุขภาพด้วย"

"วันศุกร์นี้ภูมิจะไปเชียงใหม่บินไปวันเดียวกลับครับไปดูโครงการ พี่แทนไม่ไต้องเป็นห่วงนะ"

ภูมิบุญปิดคอมพิวเตอร์แล้วรีบเข้านอน ส่วนโตโต้ก็กำลังคุยงานกับคุณอนิรุธทางโทรศัพท์อยู่วันนี้ภูมิบุญหอบเอกสารมาดูที่ห้อง พอดูได้สักพักก็เปิดคอมพิวเตอร์หวังจะขอกำลังใจจากคนรักแต่ก็คลาดกันสุดท้ายก็เข้านอนในที่สุด

คราใดที่มาเยือนสนามบินครานั้นก็จะรำลึกนึกถึงวันที่ร่างสูงโปร่งนั้นยืนอยู่ท่ามกลางครอบครัว แทนทวียืนเด่นอยู่ในวงล้อมของนายแพทย์แทนชัยผู้เป็นบิดา แพทย์หญิงศิริกานต์มารดาและแวนพี่สาว สายตาของแทนทวีเลื่อนลอยไม่เป็นสุข ใบหน้าหมองเศร้าไม่พูดไม่จา ผู้ที่รายล้อมอยู่ก็เข้าใจดีในสถานการณ์ไม่มีใครคอยซักไซร้อะไร ปล่อยให้เวลาค่อยๆนำพาตัวของเขาเข้าไปในสนามบินรอขึ้นเครื่อง พอถึงเวลาแทนทวีก็หิ้วกระเป๋าสาวเท้าเข้าไปในด่านตรวจคน เขาพยายามมองหาใครสักคน ใครสักคนที่เขาอยากจะโอบกอดเพื่อร่ำลาก่อนจาก คนที่เขารักปานดวงใจ แผ่นหลังกว้างอันนั้น แผ่นหลังที่เคยโอบกอดทั้งยามสุขและทุกข์ มันกำลังเลือนหายไป ภูมิบุญไม่ได้มาส่งเพราะได้ร่ำลากันเสร็จแล้วเป็นวันที่บ้านภูมิบุญยิ้มแย้มตลอดเวลาที่สนทนากัน พยายามไม่ให้เขาเครียด แทนทวีเดินหายเข้าไปในด่านตรวจคนแล้ว นายแพทย์แทนชัยกับแพทย์หญิงศิริกานต์แยกกลับบ้านไปแล้วเหลือเพียงแวนที่ยืนมองหาใครบางคนอยู่

"ภูมิ โอเคไหม"

น่าแปลกที่จากเหตุการณ์เลวร้ายวันที่นิตาเสียชีวิตแวนเปลี่ยนไป ทัศนคติเกี่ยวกับภูมิบุญก็เปลี่ยนไปด้วย เธอเห็นใจและสงสารแม้จะรู้แผนการของบิดามารดาดีอยู่แก่ใจ ภูมิบุญยืนหลบอยู่ที่มุมอับข้างๆห้องขายตั๋วของสายการบินแห่งหนึ่งบนชั้นสี่ของอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิ พอทุกคนเดินจากไปภูมิบุญก็ปรากฏตัวพอแวนเห็นก็ปรี่เข้าไปหา น้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้าตามันเอ่อนองออกมา

"ทำใจดีๆนะภูมิ สองปีแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวแทนมันก็กลับมา"

แวนกอดร่างของภูมิบุญไว้ไม่สนใจสายตาของใคร

"ภูมิอยากจะกอดพี่แทนอีกสักครั้ง พี่แวน ภูมิ ภูมิอยากจะบอกลา แค่ครั้งสุดท้าย"

"ภูมิ พี่เข้าใจ พี่เข้าใจ"

ภูมิบุญเม้มปากแน่นปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเดียวไม่ปล่อยโฮออกมา แต่ยิ่งเก็บยิ่งบังคับให้มันอยู่ข้างในเพียงใด แรงดันของความเสียใจมันก็ดีดดันออกมา ภูมิบุญสะอื้นจนตัวสั่นโยนไป แวนพาภูมิบุญเดินออกไปจากที่ตรงนั้น แทนทวีจะรู้ไหมหนอว่าหลังจากที่ตนและครอบครัวออกจากบ้านมาที่สนามบิน ทั้งที่ภูมิบุญบอกว่าจะไม่มาส่งแต่เขากลับนั่งแท็กซี่ตามมาคอยมองดูอยู่ตลอดเวลา หลบอยู่อย่างนั้นไม่อยากเผยตัวออกมาเพราะเกรงว่าจะทำให้เขาลังเล เขาไปเพื่ออนาคตที่ดี เขาไปเรียนเพื่อตัวเขาเอง ภูมิบุญไม่อยากจะรั้งเขาไว้ ใจจริงอยากโผเข้าไปกอดบอกลาให้หนำใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนลูบเสาเม้มปากแน่นอยู่ แทนทวีเขาจะรู้ไหมหนอว่าวันที่ร่ำลากันที่ภูมิบุญยิ้มตลอดเวลา

"อย่าเปลี่ยนใจเลยครับพี่แทน แหมจบมาจากเมืองนอกเมืองนาดูดีจะตายไปขี้คร้านจะลืมภูมิ ไปเถอะครับเพื่ออนาคต ภูมิก็อยากมีแฟนเท่ห์ๆกับเขาเหมือนกันน้า"

คำพูดที่สรรหาพูดออกไปมันเสแสร้งทั้งหมด ในใจของภูมิบุญสั่นไหวอยากจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้

"อย่าไปเลย อย่าจากผมไปเลย"

แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ พอแทนทวีกลับบ้านไป ความมืดก็ปกคลุมจิตใจภูมิบุญร้องไห้ออกมาเพียงลำพัง ร่างเล็กที่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำปากก็กัดผ้าเช็ดตัวเอาไว้เพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน ความทรมานใจแบบนั้นของภูมิบุญแทนทวีจะรับรู้บ้างไหมหนอ มีใครบ้างอยากจะเห็นคนที่รักเดินจากไปต่อหน้า มีใครบ้างที่จะยอมฝืนยิ้มอยู่ได้ทั้งที่หัวใจโดนตัดเหยีบย่ำจนบอบช้ำ แม้ว่าเขาจะไปเพื่อสิ่งที่ดี แม้ว่าเขาจะไปเพื่ออนาคตของเขาเอง แต่รับรู้ไว้เถิดใจอีกดวงมันเจ็บช้ำทรมานแสนสาหัสเหลือเกิน

ภูมิบุญบินไปเชียงใหม่กับโตโต้และคุณอนิรุธโดยไม่บอกให้ใครในบริษัทรู้ โตโต้โทรไปสั่งงานที่เชียงใหม่บอกให้แจ้งภานุคนที่ภูมิบุญสงสัยวานให้เขามาทำธุระในเมืองเพื่อที่จะไม่ให้เขาสงสัยหรือไหวตัวทัน พอถึงเชียงใหม่ตอนสิบเอ็ดโมงกว่าก็ตรงไปยังรีสอร์ททันที การก่อสร้างแล้วเสร็จไปเกือบเก้าสิบเปอร์เซนต์แล้ว ทั้งสามแยกกันออกเดินตรวจงานโดยมีเอกสารในมือเป็นพิมพ์เขียวกับเอกสารการสั่งซื้ออยู่ในมือ


"นี่มันไม้อัดทั้งนั้นเลยนี่ เลวที่สุด"

ภูมิบุญเอามือเคาะตามผนังห้องในส่วนที่เป็นไม้ตกแต่งตามผนังห้อง ยิ่งเดินดูยิ่งเห็นว่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างมันของราคาถูกเกรดไม่ได้ตามมาตรฐานที่ทางบริษัทวางเอาไว้ ภูมิบุญถ่ายภาพเก็บตัวอย่างใส่ถุงกระดาษกลับไป ส่วนโตโต้เองก็สีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน คุณอนิรุธกำลังง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวนิ้วเคาะแป้นแต่คอกับบ่าก็หนีบโทรศัพท์คุยอยู่กับอีกฝั่ง น่าจะเป็นลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานเพราะเห็นสั่งงานกันอยู่

"เลวมาก ดูมันทำกับเราสิมันเล่นเอาทุกอย่างเลย ไม่ได้ตามมาตรฐานสักอย่าง ชั่วช้าที่สุด"

โตโต้พูดขึ้นระหว่างนั่งรถกลับไปที่สนามบิน

"คุณโตโต้ดูรูปนี้สิครับ โคมไฟชุดนี้ตามใบสั่งซื้อ ตัวละสามแสน แต่ดูสภาพแล้วน่าจะไม่เกินพัน เกินไปจริงๆนะครับ"

ภูมิบุญเอากล้องดิจิตอลออกมาเลิ่อนภาพให้โตโต้ดู รายนั้นพอเห็นก็เม้มปากหนักเข้าหากัน สายตาแค้นเคืองเป็นอย่างมาก

"เราจะรออีกนานแค่ไหนครับคุณโตโต้ หลักฐานที่มีมันก็มากพอที่จะจัดการกับคนพวกนนี้แล้วนะ"

ภูมิบุญพูดออกมามองหน้าโตโต้

"พี่ขอไปดูที่เขาค้อด้วยหน่อย ไหนๆก็จะล้างเลือดแล้ว ขอเอาออกให้หมดเลยละกัน"

โตโต้ฉายแววตาเคียดแค้นออกมา คนพวกนี้มองไม่เห็นหัวมารดาของเขาเลยหรือ บริษัทนี้ตั้งมาด้วยความเหนื่อยยากของลูกผู้หญิงตัวคนเดียวเธอทำงานหนัก เพื่อที่จะก่อร่างสร้างตัว แต่คนพวกนี้กลับมาทำตัวเป็นริ้นไรคอยสูบเลือดสูบเนื้อกับแบบนี้หรือ โตโต้ขบกรามแน่นจนปูดโปน

"งั้นผมไปด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันดู"

"ไม่เป็นไรภูมิ เดี๋ยวพวกมันจะสงสัยเอา ให้เรากลับไปทำงานตามปกตินั่นล่ะดีแล้ว เดี๋ยวพี่ไปกับคุณอนิรุธเอง"

โตโต้พูดออกมา ภูมิบุญนิ่งเงียบไป

"แล้วคุณโตโต้แน่ใจนะครับว่าที่เขาค้อไม่มีสายของพวกนี้อยู่"

ภูมิบุญพูดออกมา โตโต้หันขวับมามอง

"ไม่หรอกภูมิ พี่กะจะไม่เข้าไปในรีสอร์ทหรอก พี่ตั้งใจจะไปคุยกับซัพพลายเออร์"

"มันนานแล้วนี่ครับคุณโตโต้ ไม่ใช่เราหมดสัญญาไปแล้วเหรอครับ"

ภูมิบุญสงสัยเพราะตนไม่มีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นัก

"ยังหรอกภูมิ ซัพพลายเออร์ก่อสร้างพี่ทำสัญญาไว้ห้าปี"

ทั้งสองสนทนากันอยู่เบาะท้ายโดยมีคุณอนิรุธนั่งหน้ากับคนขับรถ

"คุณโตโต้ครับ เราไม่เลยไปที่เขาค้อเลยล่ะครับ ไหนๆก็มาแล้ว"

คุณอนิรุธเอ่ยขึ้น โตโต้ฉายแววตาออกมา

"จริงสินะ ภูมิงั้นภูมิกลับไปคนเดียวก่อนนะ พรุ่งนี้เย็นๆเดี๋ยวพี่กลับ"

"เอ่อ ให้ผมไปด้วยไม่ได้เหรอครับ"

"อย่าเลยภูมิ เพราะภูมิต้องช่วยพี่ไปเตรียมเอกสารให้ทนายทางฝั่งโน้นนะ คุณวิโรจน์รออยู่ทางโน้นใช่ไหมคุณอนิรุธ"

"ครับ ผมบอกให้เตรียมเอกสารทุกอย่างไว้หมดแล้ว รอให้น้องภูมิกลับไปหาให้อีกนิดหน่อยครับ ตอนนี้เราหลักฐานเกือบครบแล้ว"

โตโต้หันไปหาอนิรุธ ฝ่ายโน้นก็เอี้ยวคอกลับมา ภุมิบุญพยักหน้าตาม พอทั้งสองไปส่งภูมิบุญขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯก็ขับรถเลยไปเพชรบูรณ์ ไม่ชอบการเดินทางคนเดียว ไม่ว่าจะทางไหน แต่ดีหน่อยที่นั่งเครื่องใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้วอีกอย่างภูมิบุญไม่มีเวลามาปลีกวิเวกคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หรือจะมานั่งเหงาอยู่เหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว แฟ้มเอกสารที่อยู่หน้าตักถูกเปิดออกปากกาสีสันฉูดฉาดป้ายลงไปตรงข้อความที่สำคัญ ทำอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมาเสียงพนักงานบนเครื่องก็ประกาศ ว่ากำลังจะจอดเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ภูมิบุญเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าสะพายแล้วเตรียมตัวลงจากเครื่อง

"สวัสดีครับพี่วิโรจน์"

ภูมิบุญตรงจากสนามบินไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการ ต้องนัดคุยกันนอกบ้านเพราะเรื่องนี้ยังไม่อยากให้คุณอภิสรารู้ คุณวิโรจน์หอบเอกสารกับโน๊ตบุ๊คมานั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว ภูมิบุญเองก็หอบเอาเอกสารที่วานลุงหมายคนขับรถเอามาจากที่บ้านใส่รถมาด้วย ตอนมารับขากลับจากสนามบิน รวมถึงเอกสารที่ได้มาบางส่วนจากเชียงใหม่

"อืมหลักฐานแน่นมากครับคงดิ้นไม่หลุด"

หลังจากดูเอกสารเสร็จคุณวิโรจน์ก็เปรยออกมา

"ผมไม่อยากให้ใครหลุดไปได้สักคนนะครับ ตัวเล็กตัวน้อยอยากให้โดนให้หมด"

ภูมิบุญเองเม้มปากยิ่งดูเอกสารหลักฐานต่างๆยิ่งโกรธแค้น

"แล้วเรื่องไปถึงไหนแล้วครับคุณวิโรจน์"

"พี่อนิรุจส่งเรื่องให้ศาลไปสามวันก่อน ผมว่าอย่างช้าน่าจะวันพฤหัสนี้นะครับ หมายศาลก็น่าจะถึง เพราะพี่อนิรุจเขาเป็นเพื่อนกับอัยการ"

"ดีครับ ผมไม่อยากให้พวกนั้นได้ตั้งตัว กลัวว่าจะไหวตัวทัน"

"ไม่ต้องห่วงครับน้องภูมิ"

ทั้งสองอยู่สนทนากันจนเวลาสองทุ่มกว่าภูมิบุญให้ลุงหมายมาส่งแล้วบอกให้กลับไปก่อนได้เลย ฝากบอกทางบ้านว่านัดคุยงานกับดีลเลอร์ พอกลับถึงบ้านก็ไปทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้าไปคุยกับนายใหญ่ของบ้าน

"ภูมิช่วงนี้ที่ทำงานมีอะไรกันหรือลูกป้าเห็นหน้าเครียดๆกันทั้งสองคนเลย มีเรื่องกับพี่เขาเหรอ"

"เปล่าครับคุณท่าน ภูมิหน้าเครียดไปเหรอครับ น่าจะเป็นเอกสารที่เยอะไปหน่อยล่ะครับ แต่ภูมิไม่ได้
เครียดนะครับคุณท่าน"

"อืม มีอะไรหรือเปล่าลูกบอกป้าได้นะ"

ภูมิบุญเม้มปากแน่นแม้จะพยายามปิดแต่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคุณอภิสราไม่ใช่คนโง่

"ครับ ถ้ามีอะไรภูมิจะบอกคุณท่านก่อนใครครับ แต่ตอนนี้ภูมิขอศึกษาตรวจงานดูให้แน่ชัดก่อน"

"ป้ารู้นะภูมิว่าเรื่องอะไร"

คุณอภิสราโพล่งขึ้นมาภูมิบุญมองหน้าคนพูดทันที สายตาโตขึ้นไม่คาดคิดกับสิ่งที่ได้ยิน

"คุณท่านรู้เหรอครับ"

"ป้าพอจะดูออกนะว่าเรื่องอะไร เรื่องคนโกงบริษัทใช่ไหม"

ภูมิบุญอ้าปากค้างมองหน้าคุณอภิสราตาค้าง

"ป้าพอรู้มาตั้งนานแล้วล่ะ ตั้งแต่มอบอำนาจให้ตาโต้ดูแล คนเก่าแก่ใช่ไหมที่ทำ"

น้ำเสียงเรียบราบแต่มันแฝงไปด้วยความฉลาดล้ำลึก ภูมิบุญเม้มปาก

"ภูมิกำลังดำเนินเรื่องอยู่ครับคุณท่าน อยากเรียนให้ทราบนานแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจ อยากให้แน่ใจกว่านี้ก่อน เกรงว่าคุณท่านจะไม่สบายใจ"

ภูมิบุญพูดออกไปสายตายอมจำนน

"ป้าไม่ว่าอะไรหรอกลูก ทำไมกันนะจะทำยังไงคนโกงเหล่านี้มันถึงจะหมดไปเสียที จ้างเขาเงินเดือนก็ไม่ใช่น้อย ดูแลก็ไม่ใช่ไม่ดี นี่ป้าทำอะไรบกพร่องไปหรือเปล่าลูกบอกป้าที"

น้ำเสียงตัดพ้อระบายออกมา สายตาเหนื่อยหน่าย

"คุณท่านอย่าพูดแบบนั้นสิครับ คนเรามันไม่รู้จักพอต่อให้เราดีด้วยแค่ไหน มันก็ยังไม่รู้จักพอหรอกครับ ภูมิจะรักษาผลประโยชน์ของคุณท่านให้ได้มากที่สุด จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาโกงง่ายๆอีกต่อไปแล้ว"

ยกริมฝีปากขึ้น คุณอภิาราเอื้อมมือมาจับมือของภูมิบุญ

"ภูมิ ป้าภูมิใจนะ เราโตขึ้นมาก ป้าภูมิใจเหลือเกิน"

"ขอบพระคุณคุณท่านนะครับที่เมตตาให้โอกาสภูมิกับแม่"

ภูมิบุญก้มลงกราบที่ตักของคุณอภิสรา รายนั้นน้ำตาซึมลูบหัวอยู่ ภูมิบุญเองก็มีน้ำตารื้นออกมาเต็มตาเช่นกัน พอกลับถึงห้องก็รีบเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อจะคุยกับคนรัก แต่รออยู่นานแทนทวีก็ไม่ยอมออนเสียที พอไม่เห็นก็ใจสั่นไหวไป นี่เขาเป็นอะไรไปหรือ ยังงอนไม่หายแต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะปกติแทนทวีไม่เคยงอนภูมิบุญเลย หรือว่าอ่านหนังสือหนักเลยไม่มีเวลา ทั้งที่ใจสั่นไหวไปแต่ก็ส่งข้อความออฟไลน์ไปหา

"อ่านหนังสือเหรอครับพี่แทน คิดถึงจังครับ"

"รักษาสุขภาพด้วยนะภูมิเป็นห่วง"

พยายามบอกตัวเองให้คิดไปในทางดีทางบวก แต่ใจเจ้ากรรมจะเชื่อไหมว่าทั้งที่พยายามคิดไปในแง่ดีแล้ว แต่ก็ไม่แคล้วจะหวาดระแวง ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในใจมาก่อน

พอวันอาทิตย์โตโต้ก็ยังไม่กลับจากเพชรบูรณ์ โทรศัพท์มาบอกภูมิบุญแต่เช้าว่าอยากอยู่ต่ออีกสักวันเพราะยิ่งอยู่ยิ่งเห็นอะไรที่น่าจะเอามาเป็นหลักฐานผูกมัดคนโกงให้ดิ้นไม่หลุด รายชื่อที่เขาเอ่ยมาล้วนแล้วแต่ตำแหน่งใหญ่โตในบริษัท ภูมิบุญเองก็ตกใจที่ได้ยิน วันนี้จึงนัดกับคุณวิโรจน์อีกครั้งหลังจากที่ได้เมล์จากโตโต้ เขาสแกนเอกสารที่สำคัญส่งให้ภูมิบุญก่อน ภูมิบุญเตรียมเอกสารหร้อมแล้วก็ออกจากบ้านโดยนั่งแท็กซี่ไปที่นัดพบที่เดิม

"คราวนี้ไม่หลุดแน่ครับน้องภูมิ"

"คุณวิโรจน์ครับ เราแค่จะฟ้องร้องพวกนั้นเฉยๆเหรอครับ แล้วเงินที่เราโดนโกงไปล่ะครับ"

ภูมิบุญยังอดคิดถึงข้อนี้ไม่ได้

"อ้อ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เราจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคืนสองเท่า ถ้าหากว่าเงินมันแปรสภาพไปเป็นทรัพย์สินส่วนอื่น เราก็จะยึดทรัพย์สินนั้นทั้งหมดครับ"

รู้สึกใจหายกับสิ่งที่ได้ยิน นี่มันเลวร้ายขนาดนี้เชียวหรือ "ยึดทรัพย์สิน" ฟังดูมันรุนแรงโหดร้ายเหลือเกิน แต่ก็สาสมแล้วที่คนพวกนี้ได้กระทำไว้กับบริษัทที่โอบอุ้มให้ที่ทำงาน ให้เงิน แต่พวกเขาไม่รู้จักพอเอง

"เอ่อ ถ้าหากว่าเขาไม่มีทัรพย์สินคืนเราล่ะครับ"

"เราก็ฟ้องล้มละลายบุคคลนั้นครับ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำธุรกรรมอะไรได้อีกเลยในประเทศนี้"

"ฟ้องล้มละลาย"

ภูมิบุญร้องขึ้น รู้สึกร้อนๆหนาวๆหวั่นในใจ เคยได้ยินแต่ในข่าว นี่มันแย่ขนาดนี้เชียวหรือ การโกงไม่ใช่สิ่งดี นี่น่ะหรือคือผลกรรมของการคิดคดโกง

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับน้องภูมิ หน้าซีดเชียว น้องภูมิไม่ต้องกลัวหรอกนะครับ คนทำเลวก็ย่อมได้รับผลกรรมแบบนี้ล่ะครับ"

วิโรจน์พูดหน้าตาเฉย เขาคงเคยเจอกับกรณีแบบนี้มานับไม่ถ้วนแล้วเพราะเขาเป็นทนาย แต่ภูมิบุญเพิ่งจะทำงานได้ไม่ถึงเดือน แต่เขาต้องมารับรู้เรื่องราวที่ใหญ่โตที่สุดในสายงาน จิตใจที่สั่นไหวไปมันย่อมเป็นธรรมดา

"เอาเถอะ ไหนๆมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ขี่หลังเสือแล้วคงลงไม่ได้ง่ายๆสินะ"

ภูมิบุญบอกกับตัวเองแล้วคิดไปในแนวทางใหม่ แม้จะรู้สึกเห็นใจบุคคลเหล่านั้น แต่มันสาสมแล้วกับผลที่พวกเขาจะได้รับ ยกริมฝีปากสูงขึ้นอีกครั้ง ยิ้มแสยะออกมา

พอวันจันทร์ภูมิบุญก็ไปทำงานตามปกติ โตโต้ยังไม่กลับจากเพชรบูรณ์แต่เขายังไม่โทรศัพท์มาหา ภูมิบุญก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง เพราะเขาหายไปถึงสามวันสองคืนแล้ว น่าประหลาด สามปีที่ผ่านมาเขาเองเป็นคนที่ภูมิบุญเห็นหน้าอยู่ทุกวัน จะว่าไปแล้วโตโต้มาให้ภูมิบุญเห็นหน้ามากกว่าแทนทวีเสียอีก แม้ภูมิบุญเองจะไม่ไว้ใจกับสิ่งที่เคยพานพบมา กับสิ่งที่เขากระทำไว้กับภูมิบุญเมื่ออดีต ไม่เคยไว้ใจไม่เคยปันใจ แต่เพลานี้ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

"คุณโตโต้ เป็นยังไงบ้างครับ"

หลังจากที่คิดไตร่ตรองอยู่นานจึงกดโทรศัพท์ไปหาเขาทันที

"เป็นห่วงพี่เหรอครับภูมิ ดีใจจัง"

คำแรกที่พูดออกมาทำให้ภูมิบุญอยากจะวางสายไปเสีย จากน้ำเสียงดูท่าเขาคงสบายดี

"เอ่อ"

"พอดีพี่กำลังให้คนรื้อเอกสารจากบัญชีอยู่น่ะครับ บอกว่าศุลกากรมาตรวจบัญชี พอดีคุณอนิรุจเขามีเพื่อนเป็นปลัดอยู่ที่นี่จึงขอความร่วมมือ"

"ปลัด" พอได้ยินคำนี้ภูมิบุญก็นิ่งเงียบไป คนๆหนึ่งที่เป็นอดีตไปนานแสนนานผุดขึ้นในห้วงความคิด เพราะเขาปมในใจมันถึงไม่ยอมจางหายไปสักที เพราะเขาปมในใจมันจึงลบล้างไม่ออกเสียที

"ภูมิ เป็นอะไรหรือเปล่าเงียบจัง"

"อ้อ เปล่าครับ คุณโตโต้จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ"

ภูมิบุญเปลี่ยนเรื่องไป สะดุ้งออกมาถอนหายใจ

"คงเย็นนี้ครับ พี่ฝากบริษัทด้วยนะ"

"ครับ งั้นเราเจอกันเย็นนี้นะครับ"

ภูมิบุญตัดบทไม่อยากจะสนทนาอะไรมากนักกับเขา เพราะภูมิบุญเองไม่ได้คิดอะไรแต่จิตใจเขาภูมิบุญไม่รู้ ขอให้เขาคงระดับความเกลียดชังไว้ในใจอย่าได้คิดในแง่ดีกับภูมิบุญเลย ขอให้รู้สึกยังไงก็ให้คงไว้อย่างนั้น เพราะเขาเองก็คงระดับนั้นไว้อยู่ในใจเช่นกัน

"ภูมิ เราว่าเราไปเปิดบริษัทตรวจสอบบัญชีดีไหม เนี่ยยิ่งตรวจยิ่งเจอ สนุกเป็นบ้าเลย"

พลอยร้องขึ้นเมื่อเจอหน้าเพื่อนรัก

"เจอเยอะเลยเหรอพลอย"

"โอ๊ย เกือบทุกรายการ ไม่รู้มันโกงเอาไปซื้อโครงการอะไรกันหรือยังไง เล็กๆน้อยก็เอา เรามานั่งๆคิดดู ขำว่ะคนเรา"

"คนโกงนี่พลอย เข็มเล่มเดียวเขาจะเอา ยังไงเขาก็จะเอา"

ภูมิบุญพูดขึ้นพลอยยิ้มร่าออกมา

"อืมใช่ แล้วเป็นยังไงบ้างเชียงใหม่ สวีตกันไหม"

"บ้าเหรอ ไปทำงานนะพลอย ไม่มีทางหรอก"

"อ่ะจ้า พ่อคนใจเดียว แล้วบอสผ้าห่มนวมเรายังไม่มาเหรอ"

พลอยล้อเลียนอย่างสนุกสนาน

"ยัง คงตอนเย็นล่ะ นี่ก็อยู่เพชรบูรณ์"

"คงเจออะไรเข้าล่ะสิ เพราะเราตรวจดูบัญชี เพชรบูรณ์นี่โกงเยอะกว่าเชียงใหม่อีกนะ"

"เออ พลอยเรียกลุงเดินเอกสารให้หน่อยสิ"

ภูมิบุญเอ่ยออกมา

"มีอะไรเหรอภูมิ"

"ฝากบอกลุงด้วยนะ ถ้ามีเอกสารหรือจดหมายมาถึงพนักงานบริษัทให้เอามาให้เราก่อน"

"หือ ทำไมล่ะ"

"หมายศาลไงพลอย เราไม่อยากให้พวกนั้นไหวตัวทัน อยากให้หงายหลังกันทุกคน"

น้ำเสียงที่เปล่งออกไปทำให้พลอยตาค้าง แต่แค่ครู่เดียวก็ยิ้มออกมา

"ถึงเวลาแล้วสินะ ไอ้พวกชาติชั่ว ออกไปให้พ้นๆเสียที"

พลอยพูดออกมาสายตาไม่ต่างจากเพื่อนรักเลยแม้แต่น้อย ภูมิบุญเดินเข้าไปในห้องทำงาน สักพักก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น

"ทำไมยะ แกก็เรียกนายแกให้ออกมาสิถ้าแกไม่อยากให้ชั้นเข้าไป นังเลขาฯ"

เมย์นั่นเองเธอถือแฟ้มเซ็นเอกสารอยู่ในมือ

"มีอะไรกันพลอยเสียงดังเชียว"

"ชั้นมาเสนอเซ็น แต่บอกเลาขาเธอหน่อยนะ ว่าหัดมีมารยาทบ้าง"

เมย์เบะปากใส่พลอย รายนั้นอ้าปากกำลังจะพูดภูมิบุญหันมามองแล้วส่ายหน้าให้ พลอยจึงยอมสงบลง

"เชิญครับคุณเมย์"

ภูมิบุญผายมือเข้าไปในห้อง เมย์สะบัดหน้าใส่พลอยแล้วเดินเข้าไปไม่ได้สนใจใคร

"เอกสารอะไรครับ"

"อ้าว ก็ที่ให้ไปแก้ไงคะ"

"อ้อ ก็รอพรีเซนต์งานพร้อมคุณหินนี่ครับ จะมาเซ็นอะไรกัน"

"แหม น้องภูมิคะ เซ็นอนุมัติให้เอาไปทำแผนงานมาพรีเซนต์นั่นล่ะค่ะ คุณโตโต้ไม่ได้บอกไว้เหรอคะ หึหึ"

แสยะปากยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยัน

"พรีเซนต์งานต้องเซ็นอนุมัติด้วยเหรอครับ ผมไม่ยักรู้"

"ค่ะ รู้ไว้ซะว่าที่นี่เขาทำกันแบบนี้ ทางเราแก้บัดเจ็ทเป็นสามล้านแล้วนะคะ ตัดออกทุกอย่าง จะได้ง่อยๆไงคะ"

ภูมิบุญเม้มปากหนัก แต่ก็ยิ้มออกมา

"ครับ ผมขอศึกษาดูก่อนนะครับ"

"อุ๊ย ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวก็ถึงวันพรีเซนต์แล้ว รอไม่ได้หรอกค่ะ"

"แต่เอกสารจะสมบูรณ์มันต้องมีสองลายเซนไม่ใช่เหรอครับคุณเมย์"

"อันนั้นคืออนุมัติว่าแผนงานของใครได้ไปไม่ใช่เหรอคะ อันนั้นชั้นทราบดี แต่อันนี้แค่อนุมัติให้ทางเราไปจัดเตรียมแผงงานมาพรีเซนต์ คราวก่อนคุณโตโต้ก็ทำแบบนี้นะคะ น่าจะถามกันหน่อย เสียเวลาคนอื่นเขานะคะน้องภูมิ"

น้ำเสียงที่กระแนะกระแหนอยู่ตลอดเวลาทำให้ภูมิบุญเม้มปากแน่นอดทนเอาไว้จนรู้สึกว่าหูเริ่มร้อน

"เดี๋ยวหินก็คงเอามาให้เซ็นเหมือนกันล่ะคะ"

"ครับ งั้นรอนอกห้องก่อนได้ไหม ผมขออ่านรายละเอียดดูก่อน"

ภูมิบุญบอกไป เมย์ยิ้มแล้วยอมลุกออกไปโดยง่าย

"แปลกจริง"

"คุณโตโต้ครับ ผมต้องเซ็นอนุมัติให้เขาแค่จะเสนอแผนงานด้วยเหรอครับ"

ภูมิบุญกดโทรศัพท์ไปถามโตโต้

"อ้อ ครับใช่ ดูบัดเจ็ทเขาดีๆนะภูมิ เหมือนเราพิจารณางานของเขาแล้วนะ วันพรีเซนต์ก็เหมือนเป็นการคอนเฟริมอีกที"

"แล้วของคุณหินล่ะครับ"

"ก็ทำเหมือนกัน หรือจะรอพี่ก็ได้นะพรุ่งนี้เดี๋ยวพี่ไปดูให้ ยังไงก็ต้องรอลายเซ็นพี่อยู่แล้ว"

พอวางสายจากโตโต้ภูมิบุญก็เปิดเอกสารดู สักพักหินก็นำเอกสารมาให้เซ็นเหมือนกัน บัดเจ็ทตั้งไว้ราคาเท่ากัน แต่รายละเอียดแตกต่างกัน ภูมิบุญไตร่ตรองอยู่ก่อนจะหยิบปากกาออกมาเซ็นที่เอกสารทั้งสองแผ่น ก่อนจะเรียกให้เขามรับคืนไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น