"ก่อนอื่นผมต้องขอชี้แจงในการเทรนของบริษัทของเราในครั้งนี้ก่อนนะครับ ทางเราทราบดีว่าพนักงานทุกท่านมีศักยภาพดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างเรายังต้องการที่จะพัฒนาเพื่อให้ศักยภาพของพนักงานทุกคนดีขึ้นอีก หัวข้อในการเทรนวันนี้คือการทำงานด้วยทัศนคติที่ดี แอทติจูดหรือทัศนคติคืออะไร มันคือความรู้สึก ความคิดของเราต่อสิ่งที่ทำ หรือสิ่งที่เห็น"
ภูมิบุญออกไปยืนด้านหน้าห้องประชุมที่จุผู้เข้าร่วมประชุมได้ประมาณห้าสิบคน เขาประกาศก้องน้ำเสียงชัดเจนไม่สั่นไหว ภูมิบุญโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก โตโต้เองก็คอยนั่งมองดูอยู่
"วันนี้ผมเชิญอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิ ท่านได้ให้การอบรมแก่องค์กรใหญ่ๆมาหลายองค์กรแล้ว วันนี้เราได้รับเกียรติจากท่าน หวังว่าเพื่อนๆพนักงานทุกคนคงได้รับความรู้ใหม่ๆเพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานของตนให้ดียิ่งขึ้นเพื่อตัวของเพื่อนพนักงานเองและเพื่อบริษัทของเรา ขอบคุณครับ"
เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้อง ภูมิบุญเดินกลับมาที่นั่ง
"ฝากด้วยนะครับอาจารย์"
"ยินดีครับ"
อาจารย์ผู้ชายวัยกลางคนแต่งตัวตามสมัยนิยม ท่าทางกระเบียดออกไปผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชาย ตัวภูมิบุญเองแม้จะรู้ตัวว่าเป็นเกย์แต่ไม่มีอาการของหญิงสาวปรากฏแม้แต่น้อย พออาจารย์แนะนำตัวก็เริ่มการบรรยาย โดยเน้นที่หัวข้อหลักคือทัศนคติที่ดีในการทำงาน อาจารย์แจกแผ่นพับให้ทุกคนเพื่อเป็นคู่มือในการอบรม
"ถ้าเรามีแอทติจูดที่ดีในการทำงาน มันส่งผลในหลายๆด้านด้วยกันนะครับ ใครรู้บ้างว่าในบริษัทเราใครหรือตำแหน่งใดสำคัญที่สุด"
อาจารย์ถามขึ้นแล้วมองหาคนตอบ มีคนยกมือ
"เจ้าของกิจการครับ"
เสียงตอบมาจากแผนกช่าง
"ถูกต้องครับ แล้วมีใครอีกไหม"
"เมเนจเมนต์ค่ะ"
"บัญชีค่ะ"
พอมีคนตอบเสียงอื่นๆก็เริ่มตามมา
"ครับ ในแต่ละองค์กรไม่ว่าจะน้อยใหญ่ คนที่สำคัญที่สุด คนแรกคือลูกค้า สองเจ้าของกิจการ สามพนักงานทุกคน สี่สังคมที่บริษัทเราตั้งอยู่ ทำไมน่ะเหรอครับ ลูกค้าถือว่าเป็นคนสำคัญเพราะคนที่จ้างงานเราแม้จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่รายได้ที่เจ้าของกิจการได้จากลูกค้าก็มาแปรเป็นเงินเดือนให้พนักงาน ถ้าเจ้าของกิจการไม่มีลูกค้า บริษัทจะไปรอดไหมครับ ก็ไม่ เพราะฉะนั้นเราจึงถือว่าคนที่จ้างเราจริงๆ นั่นก็คือลูกค้า หรือคนที่เอารายได้เข้ามาให้บริษัทของเรา"
อาจารย์หยุดแล้วรอให้ทุกคนตอบมีส่วนร่วมในการอบรม
"เจ้าของกิจการก็สำคัญเพราะถ้าไม่มีเจ้าของกิจการ แน่นอนครับย่อมไม่มีบริษัท ส่วนพนักงานทุกคนไม่ว่าตำแหน่งอะไรหรือใครในบริษัทก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ทำไมน่ะเหรอครับ อย่างคนเดินเอกสารในบริษัท เขาสำคัญไหม ถ้าไม่มีคนเดินเอกสาร ใครครับที่ต้องเป็นคนทำ ก็เราเองนั่นไงครับไหนจะต้องทำงานของตัวเอง ไหนจะต้องวิ่งเอกสาร อาจารย์คิดว่า วันนั้นเราคงทำงานได้ไม่ดีหรอกครับ อย่างแม่บ้านทำความสะอาด เวลาเราเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่มีแม่บ้านทำความสะอาด ห้องน้ำน่าเข้าไหมครับ บริษัทหรูหราแต่ไม่มีแม่บ้านทำความสะอาด บริษัทนั้นจะน่าทำงานไหม การทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไรเราต้องให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงานนะครับ อย่าเห็นว่าเขาเป็นแค่แม่บ้าน คนเดินเอกสาร จะไปจิกหัวด่าว่าเขาไม่ดีนะครับ เพราะอย่าลืมว่าคนที่ไปว่าเขา คุณก็คือพนักงานคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไปว่าเขา ว่าเป็นแค่แม่บ้านทำความสะอาด เพื่อนร่วมงานจะรู้สึกยังไงครับ แน่นอนเวลาไปไหนเขาก็จะรู้สึกไม่ภูมิใจ ไม่กล้าบอกใครว่าตนทำงานตำแหน่งอะไร เห็นไหม เราได้สร้างปมด้อยให้เพื่อนร่วมงานไปแล้ว โดยไม่รู้ตัว แทนที่เราจะยกย่องเขา เพราะถ้าไม่มีเขา เราก็จะไม่มีที่สะอาดๆทำงานจริงไหมครับ เราต้องทำให้ทุกตำแหน่งภูมิใจในหน้าที่การงานของเขา แล้วตัวเขาเองก็จะรู้สึกว่าเขามีค่า เป็นถึงแม่บ้านในบริษัท เอ พี ที กรุ๊ป ไม่ใช่ใครจะมาเป็นกันง่ายๆนะ เห็นไหมครับ แค่ทัศนคติที่มีต่อเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย เราสามารถเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนแนวการทำงานได้ ถ้าเรารู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าตำแหน่งอะไร งานนั้นๆรับประกันได้เลยครับว่างานออกมาดีแน่นอน"
อาจารย์บรรยายยืดยาว เน้นเสียงสูงต่ำออกลีลาท่าทาง พนักงานที่เข้าอบรมก็หัวเราะไปตามที่อาจารย์บรรยาย
"ตัวอย่างนะครับ อย่างเวลาเราไปกินก๋วยเตี๋ยวอาซิ่มข้างถนนจะกินต้องเดินไปสั่ง แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะราคาก็ไม่สูงมาก คืออาจารย์อยากจะเปรียบเทียบกันว่า ก๋วยเตี๋ยวชามนึง ๒๕ บาทข้างถนนกับบริการของเขา หรือเป็นการบริการตัวเองแค่นั้น กับร้านอาหารที่พอเราเดินเข้าไปพนักงานแทบจะมาอุ้มเรา กับการที่แค่จะเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินเหมือนกัน แต่ชามละร้อยกว่าบาท รสชาติก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะอะไรน่ะหรือครับ เพราะการบริการเป็นสำคัญ อย่างเวลาเราไปซื้ออะไรดีเอายาล่ะกัน ร้านแรกไปซื้อร้านอาเจ็ก อาเจ็กถามว่า จะเอายาอะไร กี่เม็ด พอบอกไปก็หยิบให้หน้าตาก็เหมือนเพิ่งทะเลาะกับเมียมา เราเสียอีกที่รู้สึกเกรงใจเขา จริงไหมครับ พอเข้าร้านที่สอง อาเจ็กเหมือนกัน แต่อาเจ็กถามว่าเป็นอะไรมาครับ เราบอกไม่สบายปวดท้อง อาเจ็กถามอาการ แล้วแนะนำว่าควรใช้ยานี้นะอาการแบบนี้ แนะนำวิธีการใช้ยา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ถามทุกคนว่าเราจะรู้สึกพอใจที่จะไปซื้อยาที่ร้านไหนครับ"
อาจารย์ถาม ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
"เห็นไหมครับ แค่เราใส่ใจในสิ่งที่เรากำลังจะขาย หมายถึงงานของเราคือการทำรีสอร์ทเพื่อขายให้คนมาเข้าพักใช่ไหมครับ เหมือนกันครับ ถ้าหากว่าคุณฝ่ายประชาสัมพันธ์เวลาไปขายให้ลูกค้า พูดจาไม่ดีหรือไม่สนใจลูกค้า ไม่มีใครอยากซื้อหรอกครับ ถึงคุณจะบอกว่าพร็อพเพอร์ตี้ของคุณมันหกดาวเจ็ดดาวแต่ทำท่าเหมือนดาวครึ่ง ไปไม่รอดหรอกครับ เพราะฉะนั้นแอทติจูดมันสำคัญมาก ถ้าเรามีแอทติจุดที่ดี ภาพลักษณ์ของบริษัทก็ดี ที่สำคัญภาพลักษณ์ของตัวเราก็ดีตามไปด้วย"
การบรรยายใช้เวลาทั้งวันสำหรับกลุ่มแรก ภูมิบุญนั่งฟังอยู่ด้วยแค่ครึ่งวันแรกเพราะต้องไปทำงานต่อ ส่วนโตโต้ก็ออกมาพร้อมกัน
"เราว่าอาจารย์ตลกดีนะ ไม่เครียด"
พลอยบอกตอนเดินออกจากห้อง
"อืม ก็ได้พี่ไพลินล่ะแนะนำ"
"ดีนะเราว่า แต่ก่อนความคิดทัศนคติก็ไม่ค่อยดี พอฟังอาจารย์พูดแล้วมันก็จริงนะ"
"หวังว่าพนักงานของเราคงได้แง่คิดอะไรบ้างนะ"
ภูมิบุญคุยกับพลอยสักพักก็เดินเข้าห้องไปกับโตโต้
"ไปกินข้าวกันภูมิ จะเที่ยงแล้ว"
"ครับ เป็นไงบ้างครับคุณโตโต้ ใช้ได้ไหม"
"ดีนะพี่ว่า อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อบริษัท"
น้ำเสียงเรียบแต่ใบหน้ายิ้มแย้ม ภูมิบุญออกไปทานข้าวกับโตโต้ส่วนพลอยไม่ไปด้วยเพราะติดงานเตรียมเอกสารการประชุมอยู่
"แล้วเด็กคนนั้นเป็นไงภูมิ"
โตโต้ถามขึ้นเมื่อนั่งรออาหารที่สั่งไป
"ก็พาไปดูห้องแล้วครับ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็แล้วแต่น้องเขา"
"เหรอ ไม่เสียเงินเปล่านะ"
"ไม่รู้สิครับ มันเป็นสิ่งที่ผมทำได้นตอนนี้ ไม่รู้จะช่วยน้องเขายังไงเหมือนกัน"
"เรานี่ก็ขยันหาเรื่องมาใส่หัวนะ"
"ทำไงได้ครับ ผมไม่อยากเห็นอนาคตของเด็กตาดำๆคนหนึ่งต้องมาพังลงต่อหน้าต่อตา"
"คร้าบ ใจดีจริงๆนะเรา"
โตโต้ล้อออกมา ภูมิบุญไม่โต้ตอบยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
"งั้นเย็นนี้นัดน้องมันมาทานข้าวด้วยกันสิ"
โตโต้พูดขึ้น ภูมิบุญปรายตาขึ้นมองไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของคนพูด
"ครับ ผมจะลองชวนดู"
"พี่แค่อยากดูหน้าเขาหน่อยน่ะ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง"
เสียงตอบรับจากพนักงานใรการอบรมออกมาดีเกินคาด พนักงานหลายคนปรับเปลี่ยนความคิดหลังจากการอบรมเสร็จสิ้นลงในวันแรก ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันในเรื่องที่เพิ่งจะได้อบรมมา พอเลิกงานภูมิบุญก็นัดกับบาสให้มาเจอที่หน้าบริษัท พลอยเองต้องรีบกลับเพราะมีธุระกับทางบ้าน โดยมีกายมารับเช่นทุกวัน
"เป็นไงบ้างบาส เรียนเหนื่อยไหม"
พอเจอหน้าบาสภูมิบุญก็ทักทาย เขาอยู่ในชุดนักเรียนสะพายเป้ที่หลัง สีหน้าดูดีขึ้นกว่าวันก่อน
"ก็เรื่อยๆพี่ แล้วพี่จะพาผมไปไหน"
"ไปกินข้าวกันครับ"
ภูมิบุญบอกไปแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ
"แต่ไปกับพี่อีกคนนะครับ"
"ไม่ ผมไม่ไปกับคนอื่น"
เขาเสียงแข็งขึ้นมามองหน้าภูมิบุญที่สะดุ้งกับอาการของเขา
"ทำไมล่ะครับ"
"ถ้าพี่อยากไปกับผมก็ไปกับผมสิ ทำไมต้องชวนคนอื่นไปเยอะแยะ หรือจะให้มาดูคนไม่มีทางไปอย่างผมเหรอ"
"บาส"
ได้แต่ร้องออกมา ภูมิบุญถอนหายใจ
"งั้นพี่ไปเถอะครับ ผมจะกลับ"
"ได้ครับ เดี๋ยวพี่โทรไปบอกพี่เขาก่อน รอแป๊บนะครับ"
พอโทรศัพท์ไปบอกโตโต้รายนั้นก็โวยวายใหญ่ แต่ภูมิบุญก็อธิบายว่าบางทีบาสอาจะยังทำใจไม่ได้ ไม่อยากเจอใครมากหน้าหลายตา พอตกลงกันได้ก็พาบาสออกไปจากบริษัท
"ไปกินที่ซีคอนละกันนะ เผื่อเราอยากได้อะไรเพิ่มพี่จะได้ซื้อให้"
ไม่รู้ว่าที่พูดออกไปทำให้สายตาของอีกคนฉายแววขึ้นมา ภูมิบุญเรียกรถแท็กซี่หน้าบริษัทแล้วตรงไปยังที่หมาย เดินวนอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเข้ากร้านอาหารญี่ปุ่น
"ผมอยากได้โทรศัพท์"
อยู่ดีๆเขาก็โพล่งขึ้นมา ภูมิบุญมองหน้าเขา
"แล้วเครื่องที่ใช้อยู่ล่ะครับ"
"ผมจะขาย"
"อ้าว ทำไมล่ะบาส มันยังดีอยู่ไม่ใช่เหรอ"
"ก็ผมไม่มีเงินนี่พี่ ผมจะขายทุกอย่างล่ะที่มี"
ภูมิบุญเม้มปากสูดลมหายใจเข้าไปกักเก็บไว้ในปอด
"ก็พี่คอยดูแลเราอยู่นี่บาส อยากได้เงินก็บอกพี่สิ เราจะไปขายทำไม"
"ไม่รู้ล่ะพี่ ผมอยากได้โทรศัพท์ใหม่"
เขายังยืนกระต่ายขาเดียว ภูมิบุญเองก็ครุ่นคิดอยู่
"จะเอารุ่นไหนล่ะ"
"สี่จี"
"บาส"
ภูมิบุญร้องออกมา มองเขาอย่างไม่พอใจ
"พี่ไม่ซื้อให้เหรอ ไหนบอกจะดูแลผม แค่นี้พี่ก็ไม่รับผิดชอบผมแล้วเหรอ"
เขาคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พูดออกมายิ้มที่มุมปาก
"ฟังพี่นะบาส เพื่ออะไรครับ เราทำอะไรอยู่รู้ตัวไหม เราเรียนหนังสืออยู่นะ ความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องใช้โทรศัพท์แพงๆขนาดนั้น เราไม่ได้ติดต่อกับใคร หรือเป็นนักธุรกิจ พี่ซื้อให้ได้ไหม ได้ แต่เพื่ออะไร แล้วที่พี่ทำอยู่นี่พี่ไม่ดูแลเราเหรอครับ อย่ามาว่าพี่ไม่รับผิดชอบเรา พี่ไม่ได้ทำอะไรเรา แต่คนที่ทำคือแม่ของเราซึ่งท่านได้เสียไปแล้ว เอาเถอะกินข้าวก่อนส่วนเรื่องนั้นค่อยว่ากัน"
ภูมิบุญตัดบทเพราะเห็นเขากำลังอ้าปากจะพูดขึ้นมา พออาหารมาก็ก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจเขาอีก
"เพื่อนที่โรงเรียนใหม่เป็นไงบ้างบาส เข้ากับเพื่อนได้หรือยัง"
"ยัง"
"ทำไมล่ะ เราต้องรีบปรับตัวนะจะได้ไม่ลำบาก"
"จะให้มีเพื่อนได้ยังไง ในเมื่อผมไม่ได้ไปโรงเรียน"
"บาส"
ได้แต่ร้องออกมา มองหน้าเขาอีกครั้ง
"เรามีโอกาสดีกว่าคนอื่นเขานะบาส อย่าทำตัวแบบนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพี่รู้ว่าเราไม่ผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่เราก็อย่าหนีปัญหาแบบนี้สิบาส"
"พอเถอะพี่ ผมไม่อยากฟัง ตกลงจะซื้อให้ไหม โทรศัพท์อ่ะ"
"ไม่ครับ ของที่ห้องยังขาดอะไรอีกไหม"
ภูมิบุญตอบหน้าตาเฉย ทำท่าไม่สนใจเขาอีก
"พี่ ไหนบอกจะซื้อให้ผม ทำไมหลอกผม"
เขาขึ้นเสียงมองหน้าภูมิบุญอย่างไม่พอใจ
"พี่บอกเหรอว่าจะซื้อให้ ค่ำแล้วรีบกลับเถอะ เดี๋ยวพ่อเราเป็นห่วง เออเรื่องค่าใช้จ่าย พี่ลองคำนวณดูแล้วนะ น่าจะตกอาทิตย์ละห้าร้อย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์พี่ว่าจะหาอะไรให้เราทำ"
"ห้าร้อย เป็นบ้าเหรอพี่ เงินแค่นั้นจะเอาไปทำอะไรได้ ผมไม่เอาหรอก"
เขาร้องขึ้นมาทำหน้ารังเกียจในสิ่งที่ได้ยิน
"ตามนั้นครับ อยากได้เพิ่มก็พี่จะหาอะไรให้ทำไง กลับบ้านดีๆนะ"
หันหลังเดินหนีไปทันที เขายืนกัดฟันอยู่ ภูมิบุญรู้ดีว่าเขาอาจจะเป็นปัญหาใหม่ที่เข้ามารุมหัวใจให้คิดหนัก แต่ยังไงเสียมันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาแม้เขาจะเป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งในบริษัท แต่ด้วยพระคุณของคุณอภิสราต่อให้ทำมากกว่านี้เขาก็ยอม และแม้มันจะทำร้ายใครมากมายแค่ไหน เขาก็ได้แต่ยอมทำใจเท่านั้นเอง
"ทำไมพลอยกับภูมิต้องรับผิดชอบเขาด้วยล่ะ พี่ไม่เข้าใจจริงๆนะ"
กายถามขึ้นระหว่างขับรถไปส่งพลอยที่บ้าน
"แหมพี่ อย่างน้อยก็เด็กคนนึงนะคะ เขาอายุแค่นั้นต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้แล้ว หนูว่ามันอาจจะดูรุนแรงไปหน่อยนะ ช่วยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ"
"คร้าบ แม่พระ แล้วนี่จะตรงกลับบ้านเลยเหรอไม่แวะกินอะไรกับพี่ก่อนเหรอครับ"
กายเปลี่ยนเรื่องคุยหันมายิ้มให้พลอย
"ไม่ค่ะ แม่รออยู่ เห็นแม่บอกทำกับข้าวไว้รอ"
"จริงเหรอ ดีเลยงั้นพี่ขอกินข้าวด้วยคน"
"อ้าวนะ จะกินได้เหรอคะ กับข้าวบ้านๆอ่ะ ไม่ได้ไฮโซหรูหรานะพี่"
"ไม่รู้สิ ลองดูเผื่อติดใจ"
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลอยทำหน้าหมั่นไส้ขึ้นมา แต่น่าแปลกที่มารดาของพลอยกลับรักใคร่เอ็นดูกายเพราะรายนี้แม้จะไม่ได้ไปรับพลอยก็จะไปขลุกอยู่ที่บ้านคุยเล่นกับมารดาของพลอยประจำ เข้าทางผู้ใหญ่พลอยแขวะเอาประจำแต่กายก็ไม่ได้สนใจอะไร
"ภูมิ ทำไมวันนี้ไม่กลับมากับพี่เขาล่ะลูก ไปไหนมา"
พอเดินเข้าบ้าน นายใหญ่ซึ่งนั่งรออยู่หน้าบ้านอยู่แล้วก็ถามขึ้นภูมิบุญทำสีหน้าไม่ถูก
"พอดีพาน้องไปกินข้าวครับคุณท่าน"
"น้องไหน เรามีน้องด้วยเหรอ"
"เอ่อ ผมต้องกราบขอโทษคุณท่านด้วยนะครับที่ยังไม่ได้เรียนเรื่องนี้ คือว่า"
ภูมิบุญตัดสินใจเล่าให้คุณอภิสราฟังทุกอย่าง ที่ช่วยเหลือบาสเพราะคิดว่าไม่อยากให้เด็กเป็นเหมือนตัวเอง ไม่อยากเห็นปมด้อยซ้ำซ้อนที่ตัวเองเคยเจอมา คุณอภิสรานั่งฟังครุ่นคิดอยู่
"ภูมิ ฟังนะลูก ที่เราจิตใจดีเมตตาเด็กนั่นป้าไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ป้าเห็นว่ามันรังจะเอาปัญหาเข้ามาใส่ตัว ชีวิตคนเราน่ะลูกมันลำบากกันทุกคนล่ะ ป้ารู้ว่าภูมิทนเห็นเด็กมันสิ้นอนาคตไม่ได้ แต่ฟังจากที่เราพูด เด็กคนนี้ครอบครัวเขาเคยเลี้ยงด้วยวัตถุมาก่อน มันยากนะลูกที่จะทำให้เขาอยู่อย่างพอเพียงได้ แต่เอาเถอะตัดสินใจไปแล้วนี่นะ วันหลังพาเขามาหาป้าหน่อยนะ ไหนๆก็จะดูแลเขาแล้วนี่"
คุณอภิสราถอนหายใจออกมา ภูมิบุญเองรู้สึกผิดขึ้นมาก้มหน้าลงเพราะละอายที่จะมองหน้าผู้ซึ่งสายตาความคิดกว้างไกลกว่า
"เอาเถอะลูก อย่าคิดมากยังไงป้าก็ดีใจที่เราเป็นคนจิตใจดีทนเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากไม่ได้"
"ภูมิขอโทษนะครับคุณท่านที่ทำอะไรไปโดยไม่ได้ปรึกษา"
"แต่เราก็เล่าทุกอย่างให้ป้าฟังทุกเรื่องนี่ลูก ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ภูมิจะปดป้าเลยนี่ จริงไหม"
ภูมิบุญสะดุ้งกับคำพูดของคุณอภิสรา ชนักที่ปักหลังอยู่มันเหมือนจะทำพิษเข้าให้ ความเจ็บปวดแปลบขึ้นกลางใจ ภูมิบุญนิ่งเม้มปากหนัก
"มีอะไรไม่สบายใจเหรอลูก ทำหน้าไม่ดีเลย"
"เอ่อ ไม่มีอะไรครับคุณท่าน ภูมิคงเครียดไปหน่อย"
แก้ตัวไปแต่สีหน้ายังไม่สู้ดี ตอบโดยที่ไม่มองหน้าคนถาม
"มาหาป้าหน่อยสิภูมิ"
ภูมิบุญสะดุ้งอีกครั้งเพราะนั่งอยู่ข้างๆกันแต่คุณอภิสรากลับเรียกให้เข้าไปหา
"ป้าขอกอดเราหน่อย"
สายตาที่มองทำให้ภูมิบุญน้ำตาคลอออกมา บีบหัวใจเหลือเกิน สายตาที่ห่วงใยปรารถนาดีมาโดยตลอด สายตาที่เมตตาปรานีไม่เคยคิดร้ายกำลังฉายมา ภูมิบุญเม้มปากหนัก
"คุณท่าน"
พอคุณอภิสราโอบกอดภูมิบุญก็ถึงกับร้องไห้ออกมา หัวใจสะท้อน คนที่เขารักและห่วงใยเรามากขนาดนี้แต่เรากลับทำร้ายท่านแบบนี้หรือภูมิบุญ ถ้าท่านรู้เรื่องขึ้นมาทุกอย่างมันจะเป็นยังไง
"เป็นอะไรไปลูก ร้องไห้ทำไม"
"ภูมิขอโทษ ภูมิขอโทษนะครับคุณท่าน"
"หือ เรื่องอะไรกันลูก"
"ภูมิเป็นเด็กไม่ดี ภูมิ"
พูดไม่ออกเพราะไม่รู้จะเรียบเรียงหรือกล่าวอะไรขึ้นมาดี ภูมิบุญสะอื้นหนักสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจมันยากยิ่งนักที่จะพูดมันออกมาเป็นคำได้ ยิ่งสิ่งที่ทำไว้กับผู้มีพระคุณเช่นนั้นแล้ว ต่อให้ตายจากกันไปก็คงไม่พูดออกมา คำขอโทษแม้บางทีมันอาจจะทำให้ความผิดที่เราทำบุเลาเบาบางลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่บางทีสิ่งที่เราทำไว้กับเขามันก็ยากเกินกว่าคำว่าขอโทษมันจะลบล้างให้ได้ เคยไหมที่เราเคยทำผิดกับใครแล้วยังไม่ได้ขอโทษหรือขอให้เขายกโทษให้ ความผิดที่เราละอายแก่ใจแม้จะพูดออกมากับตัวเองเพียงลำพัง เรายังรู้สึกว่ามันน่าละอาย ความผิดเล้กน้อยหรือใหญ่หลวงที่มันสะสมเป็นสนิมอยู่ในใจ เป็นความจริงที่ตัวเราเพียงคนเดียวที่รู้แต่บอกใครไม่ได้ มันเหมือนเงาของปีศาจที่คอยหลอกหลอนให้เราผวาไม่ว่าคราใดที่นึกถึงมันขึ้นมา
"อะไรกันลูก ไม่เอาอย่าพูดแบบนี้"
คุณอภิสรากอดปลอบโยนอยู่ ระบายลมหายใจออกมารดหัวของภูมิบุญ
"หนักใจเรื่องเรากับตาโต้ใช่ไหมภูมิ"
คุณอภิสราพูดออกมาเสียงเรียบนิ่งที่สุด แต่มันเย็นยะเยือกเข้าไปบาดในใจเหมือนก้อนน้ำแข็งที่แหลมคม
"คุณท่าน"
ภูมิบุญผงะออกจากอ้อมกอด สีหน้าเหมือนคนที่เจอเงามืดในยามรัตติกาลวิ่งไล่ล่าอยู่แต่พอหันไปกลับไม่มีเจ้าของเงานั้น หน้าซีดอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง
"ป้ารู้มาตั้งนานแล้วล่ะลูก เรื่องเรากับตาโต้"
ภูมิบุญเม้มปากหนักน้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม สายตาเริ่มมองเห็นใบหน้าของผู้มีพระคุณไม่ถนัดเพราะม่านน้ำตามันบังตา ภูมิบุญจิตหลุดลอยไปไกลแสนไกล เสียใจหรือ ไม่ มันมากกว่านั้น ตกใจหรือ อาจจะใช่ แต่มันมาพร้อมกันทีเดียว รับไม่ไหว ตั้งรับไม่ทัน
"คุณท่าน ภูมิ"
พูดเริ่มไม่เป็นภาษาคน น้ำหูน้ำตาไหลออกมาเปรอะเปื้อน พลันภูมิบุญก็ล้มตัวลงกับพื้น ก้มลงกราบแทบเท้าของคุณอภิสรา
"ภูมิ ทำอะไรลูก ลุกขึ้นไม่เอาลูก ไม่เอาอย่าทำแบบนี้"
"ภูมิ เป็นคนเลว ภูมิเป็นคนไม่ดี คุณท่าน ภูมิกราบขอโทษคุณท่าน ภูมิ"
เสียงสะอื้นเหมือนคนกำลังขาดใจ คุณอภิสราเองก็พยายามดึงตัวภูมิบุญขึ้นมา โตโต้ที่มาถึงก่อนนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขกได้ยินเสียงก็ออกมาดู จันทร์กับอ้อยเองที่ทำกับข้าวอยู่ในครัวก็ออกมาดู
"ภูมิ อะไรกันลูก"
จันทร์ปรี่เข้ามาหา สีหน้าตื่นกลัว
"ไม่มีอะไร ขอชั้นคุยกับภูมิก่อน ไปทำงานของพวกเธอได้แล้ว"
น้ำเสียงที่เด็ดขาดเปล่งเสียงออกไป จันทร์กับอ้อยผงะหยุดกึกลง
"ตาโต้มานี่ก่อน"
เสียงเรียกของมารดาทำให้โตโต้หยุดกึกลงเช่นกันเริ่มเสียวสันหลังในสิ่งที่ตากำลังเห็น กับเสียงเรียกของมารดา
"ครับแม่"
"นั่งลง ภูมิลุกขึ้นได้แล้วลูก พอแล้ว ป้ารู้แล้วว่าเรารู้สึกผิด ป้ายังไม่ทันว่าอะไรเลยนะลูก"
พยายามจะดึงตัวของภูมิบุญให้ลุกขึ้นจากพื้น แต่ก็ไม่มีแรงกำลังเพราะภูมิบุญกอดเท้าไว้แน่นร้องไห้สะอื้นปิ่มใจจะขาดอยู่ คุณอภิสราหันมาพยักหน้าให้บุตรชาย โตโต้เองก็รู้งานมาประคองดึงตัวของภูมิบุญขึ้นมาจากพื้น ร่างกายของภูมิบุญอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง สายตาสิ้นไร้ซึ่งความหวังหรือพลังของชีวิต มีเพียงความหดหู่เจ็บปวดฉายออกมา
"เอาล่ะ ไหนๆแม่ก็พูดแล้ว ก็ขอให้แม่พูดมันออกมาเถอะนะ"
คุณอภิสราถอนหายใจออกมามองหน้าโตโต้กับภูมิบุญที่ประคองร่างกันอยู่
"แม่รู้ตั้งนานแล้วนะว่าเราสองคนมีอะไรลึกซึ้งกัน"
"แม่"
คราวนี้เป็นโตโต้ที่อุทานออกมา เพราะภูมิบุญเหมือนไม่มีแรงแล้ว
"ที่แม่ไม่พูด ไม่ใช่แม่คอยจะจับผิดหรืออะไรกับเราสองคน แต่แม่คอยดูท่าทีอยู่ แม่ไม่ได้รังเกียจหรือรู้สึกไม่ดีที่ลูกเองจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรือใคร แต่แม่เฝ้ามองว่าเราปฏิบัติต่อกันดีแล้วหรือยัง แต่ก่อนลูกเองอาจจะไม่ชอบน้อง แม้ตอนนี้เองจะชอบหรือยังแม่ก็ไม่แน่ใจ แต่ภูมิแม่ไม่เคยเสียใจนะที่เราเข้ามาในบ้าน ก็จริงอยู่ที่แม่มีลูกคนเดียว แต่ก่อนก็คิดว่าอยากมีลูกมีหลานสืบทอดวงศ์ตระกูล คนเป็นแม่ถามว่าตกใจไหม ตกใจ เสียใจเหมือนกัน แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว ชื่อเสียงเรียงนาม สกุลนี้เราเองที่อุปโลกมันขึ้นมา ฐานะเงินทองก็ด้วยพละกำลังของแม่ที่หามา พอแม่สิ้นลมหายใจไปแม่เอาอะไรติดตัวแม่ไปได้บ้าง ไม่มีเลยสักอย่าง แม่แค่อยากจะมีความสุขตอนบั้นปลาย เห็นเราสองคนที่แม่รักมีความสุขแค่นี้แม่ก็ตายตาหลับแล้วล่ะลูก"
"คุณท่าน"
ไม่รอให้คุณอภิสราพูดจบ ภูมิบุญก็ปล่อยเขื่อนน้ำตาให้แตกออกมาอีกครั้ง ครางออกไปเสียงเคล้าน้ำตาโตโต้เองก็นั่งน้ำตาซึมอยู่ มือก็จับบ่าของภูมิบุญไว้
"แม่ไม่ใช่คนหัวโบราณที่จะกีดกัน แม่รักและเอ็นดูภูมิเหมือนลูกแท้ๆ จะให้ทำร้ายเราน่ะหรือแม่ทำไม่ได้หรอก สิ่งที่เจอมาตั้งแต่เด็กจนเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ใช่ง่ายเลย จะให้แม่ห้ามน่ะหรือจะทำไปทำไมในเมื่อรู้ว่าใจของลูกมันอยู่ที่ไหน จริงไหมตาโต้"
คนที่โดนเรียกชื่อถึงกับสะอึก กระพริบตาถี่ๆไล่ม่านน้ำตาออกไป
"แต่น้องมันก็มีแฟนอยู่แล้ว อันนี้ล่ะที่แม่หนักใจ เพราะฉะนั้นตาโต้จะทำอะไรก็เกรงใจน้องมันด้วย เรามาทีหลังเราต้องพึงสังวรใจเอาไว้ด้วย"
"คุณท่านรู้ทุกอย่าง คุณท่าน"
สะอื้นออกมา คุณอภิสราดึงตัวไปกอดอีกครั้ง
"ใช่ แม่รู้ทุกอย่าง รู้มาโดยตลอด"
เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้นดาวฤกษ์จะสุกสว่างเพียงใดฤๅจะสู้แสงจันทรา ท่านว่าท่านรู้ย่อมมีผู้รู้กว่าท่าน คุณอภิสราสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งภูมิบุญและโตโต้เป็นอย่างมาก ภูมิบุญเองใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่จะหายสะอื้น ส่วนโตโต้ก็ได้แต่นิ่งฟังอยู่ อันความรักนั้นผู้ใดกำหนดหรือว่าต้องเป็นรักของหญิงกับชาย อันความรักนั้นแม้นหากเกิดขึ้นกับใครวรรณะใด สกุลใด เราล้วนแล้วแต่เรียกมันว่ารัก ไม่มีความผิดในความรัก แต่การที่ท่านไม่รู้จักรักนั่นต่างหากเป็นความผิด
"พี่แทน ภูมิยังไม่ได้ไปซื้อกล้องมาเลยอ่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ"
พอใจเริ่มโปร่งสบายหายจากสะอื้นก็มีเวลาส่วนตัว แม้ในใจจะยังคงหนักอึ้งกับเรื่องที่เพิ่งจะเจอมา แต่ก็อยากเจอคนที่รัก ได้คุยแค่คำสองคำก็คงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
"ไม่เป็นไรครับภูมิ พี่รอได้ แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง"
"อ้อ ไม่มีอะไรมากครับ เหนื่อยนิดหน่อย พี่แทนกินข้าวแล้วเหรอครับ"
ไม่รู้จะถามอะไรออกไปดี ความในใจที่ถูกบีบกดเอาไว้มันอยากจะระเบิดออกมา ทั้งที่อยากจะระบายความรู้สึกต่างๆออกมาให้คนรักฟัง แต่ก็ไม่มีอะไรจะเขียนไป พิมพ์ข้อความไว้เยอะแยะมากมายแต่ก็กดลบออก ทำอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน
"เราแปลกๆไปนะภูมิ มีอะไรหรือเปล่า"
"อ้อ ไม่มีหรอกครับ พี่แทน ภูมิคงเหนื่อย พี่แทนสบายดีไหมครับ"
"อืม พี่ก็ดีครับ คิดถึงภูมินะ"
"ครับ ภูมิก็คิดถึงพี่แทนครับ"
ภูมิบุญไม่สามารถจะรับสภาวะเบื้องหน้าได้อีกต่อไป ภาพเคลื่อนไหวของแทนทวียิ่งแทงบาดลึกลงไปในใจ เขาทำอะไรผิด ทำไมคนที่เข้ามาในชีวิตของเขาจะต้องเจ็บปวดกันทุกคน นี่เราเป็นอะไรไป คุณท่านรู้เรื่องระหว่างโตโต้กับเขาแล้ว แต่ท่านกลับไม่ว่าอะไร มิหนำซ้ำยังแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา นี่มันอะไรกัน ตอนนี้ความเห็นอกเห็นใจทั้งหมดเทไปยังฝ่ายแทนทวีผู้อยู่อีกฟากฝั่งขอบทะเล นับจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไรลงไปต้องนึกถึงน้ำใจของแทนทวีให้มากเข้าไว้ เพราะคนดีๆอย่างแทนทวีไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงที่จะมารับกับความเจ็บปวดที่เขาไม่ได้ก่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น