ตอนนี้สิบโมงครึ่ง สภาพการจราจรทางไปสนามบินสุวรรณภูมิไม่คับคั่งเท่าไรนัก บ้านเรือนของผู้คนรายทาง มีสีเขียวๆของต้นไม้ใบหญ้าแซมขึ้นมา หัวใจที่หวั่นไหวล่องลอยไป ถ้าหากว่าตอนนี้พระอาทิตย์กำลังฉายแสงแรกของวันที่กรุงเทพฯ ป่านนี้ทางฝั่งโน้นคงจะกำลังมองแสงสุดท้ายของวันอยู่ ตะวันคงเคลื่อนคล้อยลงต่ำไปทุกที เวลาบ่ายหน้าตรงไปทางสนามบินทีไรภาพความทรงจำเหล่านั้นทำไมมันเด่นชัดขึ้นมาอีกทุกที ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้ทุกข์ใจ แต่มันหวิวๆในใจ ทำไมคนเราต้องพรากจากกันด้วยนะ ทำไมโลกใบนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ทำไมเมื่อเจอกันแล้ว รักกันแล้วต้องกล่าวคำร่ำลากัน แม้จะรู้ดีว่าจากกันแล้วต้องได้เจอกันอีก แต่ใจจริง ไม่อยากห่างจากคนรักเลยสักชั่ววินาทีเดียว
"คิดอะไรอยู่ภูมิ ตาลอยเชียว"
เสียงทุ้มเข้มทำให้ภูมิบุญสะดุ้งตื่นจากภวังค์
"เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ผมคิดเรื่อยเปื่อย"
"เหรอ ตาลอยเชียวนะ มากับพี่นี่ลำบากใจมากขนาดนี้เลยเหรอภูมิ"
อยากตอบออกไปว่า "ใช่" แต่ก็นิ่งเงียบเสีย ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ได้ยิน
"แต่พี่ไม่สนหรอกนะ ฮ่าๆๆ มีเรามาด้วยก็พอแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน"
โตโต้พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี ภูมิบุญเม้มปากหนัก หันหน้าออกนอกกระจกรถอีก เอาเถอะยังไงๆก็ต้องอยู่กับเขาอีกนาน ยิ่งต่อล้อต่อเถียงเขายิ่งได้ใจ ภูมิบุญคิด พอถึงสนามบินก็รีบเข้าไปเช็คอินขึ้นเครื่องเพราะมาทันเวลาพอดี เสียงเครื่องยนต์ที่กำลังจะพาเครื่องขึ้นสู่น่านฟ้าดังกึกก้อง ภูมิบุญเม้มปากหลับตา ไม่ได้กลัวเสียงนี้ แต่มันบีบหัวใจเหลือเกิน มันเหมือนเสียงของคนที่พรากคนรักไปจากเขา มันเหมือนเสียงสัญญาณของความโหดร้าย เสียงที่ดังเสียดแทงเข้าไปกลางใจ ไม่อยากจะได้ยิน
"กลัวเหรอภูมิ"
คนตัวใหญ้โน้มใบหน้าที่มีเคราเขียวครึ้มเข้ามาใกล้ มือหนาก็เอื้อมมากุมมือของภูมิบุญไว้ ภูมิบุญจะชักมือออกแต่โตโต้ก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
"อย่าดึงแขนพี่แรงสิภูมิ มันยังเจ็บอยู่นะ"
"ก็ปล่อยสิครับ อึดอัด"
"พี่ชอบนี่ ทริปนี้ตามใจพี่นะ หึหึ"
หัวเราะออกมาภูมิบุญหันมามองตาเขียว แต่โตโต้กลับยิ้มอย่างพึงใจ
การยึดทรัพย์สินของผู้ที่มีรายชื่อโกงบริษัทกระทำในทันทีที่มีหมายศาลออกมา ทรัพย์สินส่วนใหญ่โดนยึดกรรมสิทธิ์เอาไว้โดยไม่ให้ใครแตะต้อง น้อยดูเหมือนจะโดนหนักกว่าใครเพราะเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งคดีอาญาจ้างวานฆ่า และคดโกงบริษัท ทั้งบ้านทั้งรถ ทรพย์สินต่างๆโดนศาลยึดไว้หมด จากคนที่มีอำนาจไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว
"พลอยๆ รู้ข่าวหรือยัง"
"อะไรคะพี่เมย์"
เมย์วิ่งหน้าตื่นมาแต่เช้า พลอยกำลังนั่งเคลียร์เอกสารค้างอยู่บนโต๊ะ
"ก็เจ๊น้อยไง ฆ่าตัวตายแล้วนะพลอย"
"ตายแล้ว จริงเหรอคะพี่เมย์"
พลอยร้องออกมาหน้าซีด
"พี่ก็ตกใจ เนี่ยคนในบริษัทตกใจกันทุกคน พอทางบ้านประกันตัวออกมาแกคงเครียดน่ะ"
เมย์เองก็สีหน้าไม่ต่างจากพลอยเลย
"แกยิงตัวตายเมื่อตอนใกล้รุ่นนี่เองพลอย"
"เวรกรรมแท้ๆ อย่าจองเวรจองกรรมกันเลยนะคะพี่น้อย"
"เฮ้อนะคนเรา ทำไมถึงได้คิดกันตื้นจริงนะ ตอนทำไม่คิดเลยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง เห็นบอกลูกชายก็ลาออกจากโรงเรียนเลยนะ"
"ตายจริง บาปกรรมแท้ๆ"
"คงทนสภาพไม่ไหว สามีเจ๊แกก็ทำงานอยู่ธนาคาร คงพอเป็นที่พึ่งได้บ้างล่ะ"
เมย์นั่งลงข้างหน้าพลอยระบายออกมา
"แต่เท่าที่รู้เรายึดทรัพย์สินหมดเลยไม่ใช่เหรอคะพี่เมย์ แล้วเขาจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้"
"เอาน่าพลอย มันเป็นผลกรรม เห็นไหมไม่ใช่ตัวเองคนเดียวนะที่รับกรรม แต่คนในครอบครัวก็ต้องมาพลอยรับกรรมไปด้วย น่าเห็นใจนะ แต่ทำยังไงได้"
เมย์ฉายแววตาสงสารออกมา
"คนที่อยากให้ทำแบบนี้ทำไมมันไม่ทำนะ"
"บ้าเหรอพี่เมย์ไม่ดีนะคะ อย่าไปคิดแบบนี้เลย น่าสงสารเค้าออก"
พลอยรู้ว่าเมย์หมายถึงใคร ร้องปรามเอาไว้
"พี่ล้อเล่นหรอกพลอย พี่ก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้น เออจะบอกให้บอสรู้ไหม"
"ยังหรอกค่ะ บอสไปพักรักษาตัว ไม่อยากให้มีเรื่องไปกระทบ ภูมิยิ่งเป็นคนขี้สงสารคนอยู่ด้วย กลับมาค่อยบอกดีกว่าค่ะ"
"อืมพี่เห็นด้วย มาวันนี้ว่างพี่สอนงานเลขาฯให้"
เมย์บอกแล้วรื้อเอาเอกสารหน้าโต๊ะมาเปิดดู พลอยเองก็รู้สึกท้อแท้ในใจไม่น้อยไปกว่าเมย์หรือใครที่ได้ยิน ถึงกับต้องปลิดชีพตัวเองเลยหรือ มันหนักหนามากรู้ดี แต่ทุกอย่างมันก็งอกเงยขึ้นจากน้ำมือของตัวเขาเอง ทำไมหนีปัญหาแบบนี้นะ แล้วคนที่อยู่ข้างหลังล่ะพวกเขาจะทำยังไงต่อไป พลอยครุ่นคิดอยู่ทั้งวัน พอตอนเลิกงานก็เดินออกมารอรถที่หน้าบริษัท เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะอายุไม่เกินสิบแปดปียืนน้ำตาไหลอยู่ระหว่างทางไปป้ายรถเมล์
"น้องคะ เป็นอะไรคะทำไมมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้"
พลอยเดินไปใกล้ถามขึ้นด้วยความห่วงใย
"พี่ทำงานอยู่บริษัทนี้เหรอ"
เขาถามขึ้นดวงตาแดงช้ำคงร้องไห้มามากพอสมควร
"ใช่จ๊ะ มีอะไรเหรอหนู"
"ใจร้าย ทำไมคนในบริษัทนี้ใจร้าย"
"หือ อะไรกันจ๊ะ ใครทำอะไรหนู"
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นแต่เหมือนเด็กที่เพิ่งจะสูญเสียคนที่รัก หรือหลงทาง หรือว่า
"บริษัทนี้ฆ่าแม่ผม ผมเกลียดบริษัทนี้"
เขาตะโกนออกมา สายตากร้าว พลอยสะท้อนเข้าไปถึงใจ
"น้อง"
พลอยอุทานออกมาหัวใจหลุดลอยไป
"ทำไม ฆ่าแม่ผมทำไม แล้วผมกับพ่อจะอยู่ยังไง ทำไม ทำไม"
เขาร้องออกมาสายตาที่มีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา ทำให้ใจของพลอยอ่อนไหวร้าวราน
"มาคุยกับพี่ตรงนี้ก่อนไหมคะน้อง พี่เข้าใจเรานะ ทำใจดีๆไว้นะคะ"
พลอยจูงมือเขาจะพาไปนั่งตรงม้านั่งหน้าบริษัท แต่เขาสะบัดมือออก
"อย่ามายุ่งกับผม คนใจร้าย พวกไม่มีหัวใจ"
เขาตวาดเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง
"น้องคะ ฟังนะคะ พี่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่เข้าใจ แต่เราจะมีตีโพยตีพายแบบนี้ไม่ได้นะคะ"
พลอยเหลืออด พยายามควบคุมอารมณ์แต่ในเมื่อคนมันเข้าใจไปอีกทาง ประโยชน์อะไรที่จะมายืนเศร้าใจหรือเห็นใจเขา
"แล้วรู้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแม่ของเราถึงต้องทำแบบนั้น รู้บ้างไหม แล้วเคยรู้ไหมว่าแม่เราเขาทำอะไรไว้กับบริษัทนี้ บ้านที่เราอยู่ รถที่พ่อแม่เราขับน่ะ มันมาจากไหน เคยรู้บ้างไหมคะ"
พลอยตวาดเช่นกัน เขาสะดุ้งน้ำตาหยุดไหลมองหน้าพลอยอย่างเคียดแค้น
"ถ้าแม่เราไม่โกงบริษัท เรื่องอะไรที่บริษัทจะต้องยึดทรัพย์สินของแม่เรา บริษัทนี้เลี้ยงคนดีไม่เคยให้ต้องลำบาก แต่แม่เราไม่รู้จักพอเอง จะมาโทษกันแบบนี้ไม่ได้นะ ก่อนโกงน่ะคิดบ้างไหมว่าเรื่องมันจะจบยังไง หา เคยคิดบ้างไหม"
พลอยตวาดเสียงดังลั่นเช่นกัน ความสงสารที่มีมันหายไปเพราะความโกรธ เข้าใจและรู้ดีว่าคนที่เพิ่งจะสูญเสียมารดาไปเป็นเช่นไร แต่เขาคงขาดสติ
"พี่อย่ามาว่าแม่ผมนะ แม่ผมไม่ได้โกง อย่ามาใส่ร้ายแม่ผมนะ"
เขาเองก็ตวาดขึ้นเสียงสั่น
"น้องคะ ฟังพี่นะ ทางเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้หรอกนะคะ แต่น้องก็ต้องเข้าใจด้วย แล้วที่แม่เราจ้างคนไปทำร้ายเจ้าของบริษัทนี่รู้เรื่องไหมคะ โกรธเกลียดกันอะไรขนาดนั้นถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเลยเหรอ น้องจะโกรธพี่ก็เข้าใจ แต่ถ้าแม่เราเข้มแข็งสักหน่อยสู้กับปัญหา พี่ว่าเรื่องมันคงไม่เลวร้ายอย่างนี้หรอก"
"ไม่ต้องมาพูด ผมเกลียดทุกคนในบริษัทนี้ คอยดูนะผมจะมาเอาคืน"
เขาพูดแล้วทำท่าจะวิ่งหนีไป
"เดี๋ยว ใครสั่งใครสอนให้เจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้ หา ถ้าเรามีสติพี่ยังจะพอช่วยพูดกับเจ้าของบริษัทให้ปรานีบ้าง แต่นี่อะไร จะมาทำอะไรเค้า"
พลอยแว้ดเสียงอันดังขึ้นเขาหยุดกึกลงกำหมัดแน่น
"นี่เบอร์พี่ อย่าคิดเองเออเอง เราเพิ่งจะอายุแค่นี้อย่าไปหัดคิดเรื่องแบบนั้นมันไม่ดี มีอะไรก็โทรมาหาพี่ เดี๋ยวพี่ช่วยพูดกับบอสให้"
พลอยอ่อนเสียงลงดึงแขนเขาไว้ เขาหันหน้ามามองหน้าพลอยสายตายังชิงชังอยู่มาก แต่พลอยเองก็ไม่ได้สะทกสะท้าน
"ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ถ้าหากใจเรามีบางอย่างที่ครอบงำอยู่ เรื่องเล็กๆน้อยๆหรือรายละเอียดอื่นใดเรามักจะมองไม่เห็นหรอกค่ะน้อง โทรหาพี่ถ้าเราต้องการความช่วยเหลือ พี่ยินดี พี่ไม่ใช่คนใจร้าย พี่เห็นใจและเข้าใจเรามากที่สุด"
พลอยพูดเสียงหนักแน่นยัดนามบัตรใส่มือให้เขา แล้วดันหลังให้เขากลับไป เขายืนนิ่งอยู่นานกำนามบัตรจนยับยู่ยี่ในมือพอได้สติก็วิ่งหนีไป พลอยเองก็สั่นไปทั้งใจไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าปัญหามันจะไม่ได้จบลงไปเหมือนอย่างที่ใจคิด มนุษย์เราล้วนแล้วแต่มีญาติมีเชื้อ มีคนที่รักมีคนที่เกลียด คนที่รักเราเขาคงไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้จบลงอย่างง่ายดายเช่นกัน พลอยถอนหายใจออกมา
"พลอยๆ กลับบ้านเหรอครับ มาเดี๋ยวพี่ไปส่ง"
เสียงเดิมที่คุ้นเคยดังขึ้นตรงป้ายรถเมล์ กายบีบแตรรถแล้วเปิดกระจกรถออกมา พลอยยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง กายเองก็คิดว่าวันนี้ต้องตามพลอยยังไงดีเพราะคงไม่ยอมง่ายๆเช่นเคย แต่พลอยก้าวลงจากฟุตบาทเดินไปเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างๆกาย รายนั้นถึงกับอึ้งพูดไม่ออก สะดุ้งอีกทีเมื่อมีเสียงบีบแตรรถไล่ให้ขยับรถจึงเคลื่อนรถออกไป
"วันนี้มาแปลกแฮะ ไม่สบายหรือเปล่าพลอย"
กายถามเพราะเห็นท่าทีที่แปลกไปของอีกคน พลอยสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย แม้จะตวาดเด็กคนนั้นไปแต่ในใจก็เศร้าหมองอยู่มาก
"พี่คะ พี่เคยลำบากใจอะไรไหมคะ"
สิ่งที่พลอยเอ่ยออกมาทำให้กายนิ่งเงียบไป
"หือ มีอะไรหรือเปล่าพลอย เราแปลกๆไปนะวันนี้"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รบกวนพี่ส่งหนูลงตรงแยกพระรามเก้าทีนะคะ"
พลอยพูดขึ้นสายตาเหม่อลอย
"ทำไมล่ะพลอยนัดเพื่อนไว้เหรอ"
"เปล่าค่ะ พลอยอยากจะไปไหว้พระ"
"อืม เคยสิครับพลอย พี่เองก็ต้องดูแลกิจการให้กับทางบ้านนะ เรื่องงานใช่ไหม"
กายพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดขึ้นเสียงขรึม
"เรื่องเกิดจากคนๆเดียวแท้ๆ แต่ทำไมมันลุกลามไปหาคนใกล้ตัวเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนะคะ น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี"
พลอยเสียงเครือไปด้วยน้ำตา กระพริบตาถี่จนกายสังเกตุเห็นได้
"งั้นพี่พาเราไปนั่งฟังเพลงก่อนดีกว่านะ จะได้สบายใจ"
กายบอกแล้วมองตรงไปยังถนน ส่วนพลอยนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สายตาที่มองออกไปนอกกระจกมันร้าวราน ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อน ตอนที่นิตาเสียชีวิต เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน เพราะไม่ได้คลุกคลีหรือรักใคร่อะไรกับนิตา อีกอย่างไม่ได้เจอด้วยตัวเอง คนที่ตายไปแล้วเขาไม่รับรู้หรอกว่าเราลำบากใจหรือทุกข์ใจแค่ไหน แต่สายตาของเด็กชายเมื่อครู่มันบาดลึกลงไปในหัวใจ สายตาที่หมดที่พึ่ง สายตาที่ไม่เหลืออะไรในชีวิต มันบาดลึกลงไปในใจ เจ็บเหลือเกิน
กายพาพลอยไปนั่งที่ร้านเลียบทางด่วนรามอินทราเป็นร้านเล็กๆกึ่งผับ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก พลอยนั่งลงสายตายังเหม่อลอยอยู่
"พี่ก็เคยมีเรื่องไม่สบายใจนะพลอย ตอนพี่ทำงานใหม่ๆ ปัญหาที่ไม่เคยเจอ เรื่องที่ไม่เหมือนตอนที่เรียน อยากหนีไปให้ไกลแต่ก็ทำแบบตอนเรียนอีกไม่ได้แล้ว มันเป็นความรับผิดชอบของเรา พี่ก็สู้กับมันมา บางทีคนก็มองว่าดูใจร้ายนะ แต่ทำยังไงได้ ถ้าเราไม่ทำเขา เขาเองนั่นล่ะที่จะทำร้ายเรา"
กายพูดออกมา พลอยเม้มปากหนัก
"ทำไมคนเราไม่รู้จักพอกันนะคะ ถ้ารู้จักพอเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด ถ้ารู้จักยับยั้งใจบ้าง คนในครอบครัวก็คงไม่ต้องมาลำบาก"
พลอยครางออกมาน้ำตาเริ่มเอ่อ ปกติแล้วเะอเป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เห็นเหตุการณ์ที่เจอ มันบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน
"เพราะคนเราไม่มีคำว่าพอไงครับ ทุกอย่างนั่นล่ะ ถ้ารู้จักพอป่านนี้บ้านเมืองเราก็ไม่เจริญหรอกจริงไหม ถ้าจะมองให้มันเป็นแง่ดี แต่การไม่รู้จักพอมากๆเข้าบางทีมันก็ทำร้ายตัวเราเอง อย่าคิดมากนะครับ เราทำถูกแล้วล่ะพี่ว่า"
"หนูไม่อยากเห็นใครต้องมาเสียใจเลย เด็กคนนั้นเขาจะอยู่ยังไงถ้าไม่เหลืออะไร เขาจะได้เรียนต่อไหม ใครจะส่งเสีย หนูเสียใจนะ"
พลอยร้องไห้ออกมา กายอึ้งไปรีบปรี่เข้าไปหา
"ไม่ต้องมากอดหนู หนูไม่ได้นางเอกขนาดนั้น"
พลอยพูดออกมากายหน้าเหวอไป เพราะคิดว่าจะอาศัยโอกาสนี้รุกทำคะแนนแต่สำหรับผู้หญิงตรงหน้าคงยาก กายแอบอมยิ้มออกมา
อากาศยามบ่ายในตัวเมืองเชียงใหม่ไม่ร้อนมากนัก มีลมเอื่อยๆพัดผ่านมาให้คลายความร้อนได้บ้าง ภูมิบุญนั่งอยู่ระเบียงหน้าห้องพัก มองภูเขาเบื้องหน้าที่เขียวครึ้ม หมอกบางๆขมุกขมัวอยู่แม้บ่ายคล้อยแล้ว ปลายเดือนคุลาคมเช่นนี้อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงเหมาะแก่การมาพักผ่อนเสียจริง
"ภูมิ ล้างแผลให้พี่หน่อยสิ มันคันๆอ่ะ"
โตโต้เดินถือกล่องยาเข้ามา ปลุกภูมิบุญให้ตื่นจากภวังค์ เขาเหลือบหันไปมองร่างโตที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
"พี่สั่งอาหารไปนะเดี๋ยวก็คงมา หิวยังเรา"
"นิดหน่อยครับ มันคันแสดงว่ามันเริ่มจะแห้งแล้วสิครับ"
ภูมิบุญพูดแล้วลุกขึ้นไปจัดแจงที่นั่งเตรียมจะล้างแผลให้เขา
"อากาศดีเนอะ จะนอนให้ฉ่ำปอดไปเลย"
"ครับ ยังเจ็บอยู่ไหมครับคุณโตโต้"
โตโต้ส่ายหน้ายิ้มให้ ภูมิบุญจับจ้องอยู่ที่ต้นแขนซ้าย ค่อยๆแกะเอาผ้าพันแผลออก
"ยังไม่แห้งเลยนี่ครับ"
ปากก็พูดไปเรื่อยกับสิ่งที่เห็น ส่วนโตโต้ยิ้มอย่างพอใจ
"พี่ไม่อยากให้มันหายหรอก"
"ทำไมล่ะครับ อยากให้มันเน่าเหรอ จะได้ตัดแขนทิ้ง"
"ถ้าหายแล้วภูมิก็ไม่ได้ล้างแผลให้พี่สิ ไม่เอาหรอก"
โตโต้พูดออกมา ภูมิบุญนิ่งไป ไม่น่าเริ่มประเด็นเลย ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก
"ผมขอตัวไปข้างล่างหน่อยนะครับ"
พอล้างแผลเสร็จก็พันผ้าให้โตโต้
"จะไปไหนล่ะ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว"
"ผมจะไปเดินเล่น อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้"
"งั้นพี่ไปด้วย"
"อย่าเลยครับ แผลยังไม่หายดี"
"เดินเล่นใช้เท้านี่ภูมิ พี่เจ็บแขนนะไม่ได้เจ็บเท้า"
สูดลมหายใจเข้าลึกกักไว้ในปอด
"พี่ก็เซ็งๆเหมือนกัน นอนทั้งวันเพลีย"
โตโต้พูดออกมาแล้วลุกขึ้นทำท่าเตรียมพร้อม ภูมิบุญแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมาอีกครั้ง
"พี่รู้นะภูมิว่าเราลำบากใจที่มาอยู่กับพี่สองคนแบบนี้ แต่พี่ขอสักวันไม่ได้เหรอภูมิ ทำดีกับพี่หน่อย พี่แค่ต้องการกำลังใจ"
น้ำเสียงที่ขรึมเย็นจนภูมิบุญสะท้านไปกลางใจ มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ นี่เขาเป็นอะไรไป นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น
"คุณโตโต้"
ได้แต่ร้องออกไป โตโต้จ้องมองใบหน้าของภูมิบุญแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน ภูมิบุญหลบสายตา ในใจเริ่มร้อนรน นี่เขาจะทำยังไงดี ให้เหตุการณ์นี้มันลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่อยากให้ความหวัง ไม่อยากให้เขาคิดแม้แต่น้อย มันมากเกินไปแล้ว มันหนักหนาเกินที่ใจจะแบกรับเรื่องราวไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์เหล่านี้ ไม่คิด ไม่คิด ภูมิบุญบอกกับตัวเอง
"งั้นไปเดินเล่นกันครับ ไหวนะคุณโตโต้"
ภูมิบุญพูดออกมาพยายามทำตัวให้ยิ้มแย้มแจ่มใส เพรารู้สึกสะท้อนใจมากเช่นกันกับคำพูดและท่าทางของเขา นี่แสดงสีหน้าท่าทางออกไปมากขนาดนั้นเชียวหรือ ภูมิบุญคิดอยู่ในใจ
"ไปเดินดูของที่ตลาดดีไหม มีตลาดคนเดินด้วยนี่"
"คนเยอะนะครับ ไม่กลัวคนเขาจะมาเดินชนแขนเอาเหรอ ไปเดินริมน้ำปิงดีกว่าครับ ผมไม่ได้อยากจะซื้ออะไร"
ภูมิบุญบอกแล้วเดินออกจากห้องไป โตโต้เดินตามไปติดๆ โตโต้พยายามจะใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาที่มีจังหวะและโอกาส ไม่ว่าจะแตะเนื้อตัว ตอนแรกภูมิบุญก็พยายามจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ แต่พอเขาตื้อมากขึ้นก็รำคาญขี้เกียจขัดขืนอีก โตโต้จึงได้ใจ
"ยังคิดถึงมันอยู่เหรอไอ้แทนน่ะ"
อยู่ดีๆก็โพล่งขึ้นมา ภูมิบุญกำลังเหม่อมองลำน้ำปิงยามอาทิตย์อัสดง สายน้ำสีขุ่นๆสะท้อนกับแสงแดดงดงามยิ่งนัก สะดุ้งหมดอารมณ์ที่จะดูทันที
"ทำไมเหรอครับ"
"มันมีคนใหม่แล้วป่านนี้ เป็นอย่างเราน่ะไม่มีอะไรผูกมัดกันไว้ ลำพังเชื่อใจกันอย่างเดียวไม่เหลือหรอก เชื่อพี่ดิ"
"แล้วทำไมครับ"
พูดเสียงเขียวจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
"ทีหญิงชายอย่างคุณโตโต้ยังไปไม่รอดเลย แล้วหญิงกับชายมันมีอะไรล่ะครับที่ผูกที่มัดกันไว้ คนเราหากไม่เชื่อใจกันไม่มีใจให้กัน เพศไหน รศนิยมแบบไหน ต่อให้ผูกมัดตรึงกันด้วยเชือก มันก็ไม่อยู่หรอก จริงไหมครับ"
"ฮ่าๆ เอาจริงเอาจังเชียวนะ พูดถึงชื่อมันไม่ได้เลยนะภูมิ รักมันมากขนาดนั้นเลยเหรอ"
"กลับเถอะครับ ผมหิวแล้ว"
ภูมิบุญตัดบทเดินหนีไป ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้
"หึหึ สักวันเถอะภูมิ คนที่ภูมิจะต้องรกจนหมดใจคือพี่ พี่คนเดียว"
โตโต้หัวเราะไล่หลังมา ไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนความคิดจากเกลียดเป็นแบบนี้ไปได้ รักหรือ? ก็ไม่ เขาแค่อยากจะเอาชนะคนถือดีอย่างภูมิบุญเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าคนที่ใจแข็งอย่างเขาเวลารักใครหมดใจ มันจะเป็นเหมือนรักแทนทวีไหม แค่นั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น