วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากหกสิบสาม

เคยอยู่ในที่มืดมากๆไหม ความมืดมันไม่ใช่เพียงแต่ทำให้เรากลัว มองไปทางไหนไม่มีแสงอันใด จะไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวอันใดไม่มี ความมืดสนิทดำมืดมันปกคลุมไปรอบกาย ความกลัวที่ดูเหมือนใหญ่กว่าทุกสิ่ง ทำไมมันน่ากลัวขนาดนี้นะ แต่รู้ไหมถ้าเราหลับตาสักพัก สักแค่ไม่กี่นาที ค่อยๆลืมตาออกมา ความมืดนั้นเหมือนจะมีเงาให้สายตาของเราพอคุ้นชินมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ไม่ยาก จิตใจคนเราก็เช่นกัน ถ้ามันมืดมนนักก็หยุดนิ่งสักพักเสีย เพ่งมองเบื้องหน้า สักพักเราก็จะเห็นแสงสว่างหรือทางไปเอง

"วันนี้เหนื่อยไหมครับพี่แทน"

พอมีเวลาพักใจก็รีบเปิดคอมพิวเตอร์เรียกหาคนที่รัก แทนทวีรออยู่ก่อนแล้ว

"อ้าวภูมิ มาเมื่อไหร่ ไม่เหนื่อยครับ เราเป็นไงบ้าง"

"วันนี้มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ"

"หือ มีอะไรครับ"

ภูมิบุญบอกเล่าไปอย่างละเอียด

"ใจเย็นๆนะภูมิ พี่ว่าไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราเองน่ะใจร้อนนะควบคุมหน่อยก็ดี พี่ไม่เคยเห็นเราเป็นแบบนี้มาก่อนนะ"

"ครับพี่แทน ภูมิเองก็รู้ตัว แต่มันห้ามไม่ได้ วันนี้ไปงานเปิดตัวหนังสือมา เจอพี่แวนด้วยนะครับ"

"พี่แวนเหรอ พูดอะไรหรือเปล่า"

"ก็คุยกันปกตินี่ครับ มีอะไรเหรอครับ"

"อ้อ เปล่าๆ กลัวว่าจะนินทาพี่น่ะสิ"

"ไม่หรอกครับพี่แทน ทุกคนที่นี่เขาคิดถึงพี่แทนกันทุกคนนะครับ"

"พี่อยากจะกลับจะแย่อยู่แล้ว แต่พอจบต้องทำโครงงานอีก พี่กลัวว่าจะได้อยู่ฝึกงานที่นี่อ่ะภูมิ"

ใจหายหลุดลอยไป นั่งนิ่งไม่กระดิกไหวตัว พิมพ์ข้อความไปแล้วลบออก พิมพ์อีกครั้งก็ลบออก

"ภูมิ เป็นอะไรไป เงียบจัง"

"ภูมิขอดูหน้าพี่แทนหน่อยสิครับ อยากเห็นจัง"

"อ้อ วันนี้กล้องพี่เสียครับภูมิ เอาไว้พี่ไปซื้ออันใหม่มานะเดี๋ยวให้ดูทุกสัดส่วนเลยดีไหม"

"แหม อยากเห็นแค่หน้าพี่แทนนะครับ ไม่ได้อยากเห็นส่วนอื่น"

"อ่ะนะ แต่พี่อยากเห็นทุกสัดส่วนของภูมินะ"

แม้จะเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นหน้าคนรักแต่การสนทนาก็เป็นไปโดยดี ฝ่าฟันเรื่องราวๆต่างๆมาทั้งวัน เหนื่อยกายท้อใจ แต่พอมาได้น้ำเลี้ยงแห่งใจก็เหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกที จากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันพอหัวถึงหมอนแม้จะมีเรื่องคั่งค้างในใจก็ไม่เป็นอุปสรรค พอเอนหลังลงนอนก็หลับเป็นตาย

"ภูมิจ๊ะ เมื่อคืนมีอะไรกันเหรอ ทำไมรีบกลับ เห็นโต้บอกว่าภูมิต้องรีบกลับไปดูน้อง ภูมิมีน้องด้วยเหรอจ๊ะ"

พอบ่ายๆแวนก็โทรศัพท์มาหา ภูมิบุญเล่าเรื่องคร่าวๆให้แวนฟัง

"เฮ้อ นะ พี่คิดถึงตัวเองจังเลย พี่ก็เคยทำตัวไม่ดีแบบนั้นมาก่อน ยึดติดในวัตถุ สักวันเขาคงคิดได้เองล่ะภูมิ พี่ว่าน้องเขาโชคดีนะที่มาเจอภูมิ"

"โชคร้ายมากกว่าครับพี่แวน เมื่อคืนภูมิว่าเขาแรงเหมือนกัน"

"ไม่หรอกน่า คนเราบางทีมองไม่เห็นการกระทำหรือความคิดของตัวเองหรอก อย่างน้อยพี่ว่าเราก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนเงาให้เขาเห็นนะ"

คำพูดคำจาที่คุ้นๆเหมือนกับฝ้ายรุ่นพี่ที่แสนดี ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินมาจากปากของแวน เธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ

"นี่เย็นนี้ว่างไหม ออกมาเจอพี่หน่อย ชวนโต้ออกมาก็ได้"

"มีอะไรหรือเปล่าครับพี่แวน เย็นนี้ยังไม่ได้ดูตารางงานเลยครับ"

"แหมพ่อนักธุรกิจใหญ่ เอาน่าเจอพี่ก็เป็นงาน คือพี่จะคุยเรื่องแต่งงานน่ะภูมิ อยากไปจัดที่เขาค้อ พี่เคยไปสวยติดใจ"

"แต่งงาน จริงเหรอครับ ยินดีด้วยนะครับพี่แวน" ร้องออกมาทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ

"ต้องรีบคว้าไว้น่ะจ๊ะ เดี๋ยวพอลเขาเปลี่ยนใจ คราวนี้ไม่ยอมแล้ว"

แวนหัวเราะออกมา โตโต้ที่นั่งมองอยู่เงี่ยหูฟัง พอวางสายจากแวนไปก็บอกให้โตโต้ฟัง

"จริงเหรอภูมิ เออดีไปๆ ไอ้ห่าพอลไม่เห็นบอกพี่สักคำ"

สีหน้าดูครุ่นคิด แม้ปากจะพูดติดตลก ภูมิบุญสะท้อนใจขึ้นมาทันที

"คุณโตโต้ไม่อยากแต่งงานบ้างเหรอครับ ครอบครัวที่สมบูรณ์ พ่อ แม่ ลูก"

ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนได้พูดออกไปมันทำให้ชายที่นั่งมองอยู่ยิ้มออกมา

"นั่นสินะ แต่ขอมีแต่พ่อกับแม่ได้ไหม ลูกไปขอเขามาเลี้ยงเอา ให้ไอ้พอลทำให้สักสองคน ดีไหมภูมิ"

สายตาเปลี่ยนไปเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา

"ทำไมล่ะครับ แฟนคุณโตโต้มีลูกไม่ได้เหรอครับ"

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาหมายความถึงอะไรแต่ก็แสร้งออกไป

"ใช่เขามีลูกไม่ได้ แต่พี่ไม่ได้เสียใจนะ ที่จริงไม่ได้อยากมีลูก แค่อยากตื่นมาทุกวันเจอหน้าเขาก็พอ"

"ดีจังนะครับ น่าอิจฉาแฟนคุณโตโต้จัง"

ไม่รู้ทำไมบังคับตัวเองให้หยุดพูดต่อปากต่อคำกับเขาไม่ได้ ยิ่งอยากหยุดยิ่งอ้าปากพูด

"ไม่ต้องอิจฉาหรอกครับ พี่อาภัพจะตาย เพราะเขาไม่เคยมองพี่เลยน่ะสิภูมิ มีแฟนอยู่แล้วด้วย แต่พี่ไม่ยอมแพ้หรอกนะ เพราะพี่รู้ว่าเขาเองก็ชอบพี่อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน"

คราวนี้เงียบอึ้งไป ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร แต่ไม่อยากพูดต่อไปอีกแล้ว ยิ่งพูดเหมือนมันวนเวียนมาเข้าตัวเองยังไงไม่รู้

"ภูมิว่าเขาจะใจอ่อนไหม"

แต่โตโต้เองไม่ยอมหยุด ภูมิบุญได้แต่ระบายลมหายใจออกมา

"คงไม่หรอกครับ คนเราจะรักใครสักคนรักได้ทีละคน เพราะใจเขาก็น่าจะมีดวงเดียว"

"หึหึ เหรอครับ แสดงว่าพี่โชคดีสินะที่ได้ทั้งตัวและหัวใจของเขามาก่อนแฟนเขาอีก"

ยิ้มขึ้นที่มุมปาก ภูมิบุญร้อนผ่าวไปทั้งหน้า พยายามทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด นิ่งเงียบเก็บอาการไป อึดอัดทุกครั้งที่เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แปลบในใจทุกทีที่เขาพยายามขุดคุ้ยเรื่องอดีตขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อไหร่มันจะจบ ไม่อยากรับรู้เรื่องแบบนี้แบกเรื่องแบบนี้ไว้ในใจอีกแล้ว แล้วทั้งวันโตโต้ก็พยายามแทะโลมอยู่ตลอดไม่ว่าจะช่วงไหน ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา เพราะไม่อยากแสดงกริยาอะไรที่มันคล้อยตามเขามาก เพราะเขาก็ตีเข้าตัวเองหมดอยู่ดี พอเลิกงานก็ตรงไปยังที่นัดหมายกับแวนเอาไว้ โดยมีโตโต้ตามไปด้วย

"รอนานไหมครับพี่แวน"

ภูมิบุญทักทายยกมือไหว้เช่นเคย

"ไม่หรอกจ๊ะภูมิ พี่เพิ่งมาเมื่อครู่เอง ว่าไงคะโต้ไม่ปล่อยให้น้องมาคนเดียวเลยนะ"

"ไม่ได้หรอกแวน ภูมิเขาไม่เคยไปไหนคนเดียวมีผมตามติดตลอด ปล่อยมาคนเดียวไม่ได้หรอก"

"แหม คนที่อยู่เคียงข้างน้องภูมิน่าจะเป็นตาแทนนะ"

แวนพูดขึ้นสายตาอ่านลำบาก ภูมิบุญเองก็ฉายแววตาอยากรู้ขึ้นมา

"ก็พี่แทนไปเรียนนี่ครับ เดี๋ยวก็กลับมา"

พูดแล้วปรายตาไปมองชายคนที่นั่งข้างๆ

"อืม โต้แวนขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ"

หลังจากที่ครุ่นคิดอะไรอยู่สักพักก็เอ่ยขึ้นมา โตโต้ทำหน้างงๆแต่ก็พยักหน้าเดินตามแวนออกไป ทั้งสองคุยกันหน้าตาเคร่งเครียดอยู่สักพักก็เดินกลับมา

"มีอะไรกันเหรอครับ หน้าเครียดเชียว"

"อ้อ ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะภูมิ คือเรื่องงานแต่งนั่นล่ะ พี่คิดว่าพี่มีน้อง"

"มีน้อง"

"จ๊ะ เลยเครียดนิดหน่อย กลัวว่าพ่อแม่รู้แล้วจะว่าเอา"

แวนมองหน้าโตโต้เหมือนกำลังอ่านสายตากันอยู่

"ไม่หรอกครับพี่แวน พ่อแม่พี่แวนใจดีจะตาย"

"หึ ถ้าใจดีคงไม่พรากใครบางคนออกจากกันหรอกนะ"

พูดขึ้นมาลอยๆ ภูมิบุญทำหน้าไม่ถูกแทงเข้ากลางอกสะอึกอยู่

"เออ แล้วได้ฤกษ์มาเมื่อไหร่ล่ะแวน แล้วไอ้เชี่ยพอลทำไมมันไม่มาด้วย"

โตโต้พูดขึ้นเหมือนจะเบี่ยงประเด็นให้ความเครียดจางหายไป

"ก็คิดว่าน่าจะรอตาแทนกลับมาล่ะ น่าจะประมาณสิ้นปี พอลเขาเพิ่งเปิดตัวหนังสือนี่โต้ก็เลยยุ่งนิดหน่อย"

"พี่แทนจะกลับมาสิ้นปีเหรอครับ"

น้ำเสียงลิงโลดขึ้นมา ตาเป็นประกาย

"แหมภูมิ พอพูดถึงตาแทนนี่ดูมีความสุขจังนะ ถ้ามาก็คงมางานแต่งพี่นั่นล่ะจ๊ะ แล้วก็คงกลับไปเรียนเหมือนเดิม"

"นั่นสิ สิ้นปีก็อีกไม่กี่เดือนนี่แวน จะเตรียมตัวทันเหรอ"

โตโต้ปราดตามองไปยังภูมิบุญ รายนั้นทำหน้าไม่สนใจ

"ก็ถึงได้เรียกให้โต้กับน้องภูมิมาคุยนี่ไงจ๊ะ ช่วยแวนหน่อย คนเดียวคิดไม่ออก เรื่องสถานที่ก็คงเป็นที่กรุงเทพฯกับที่เขาค้อนั่นล่ะ"

"อ้อครับ แล้ววางตีมของงานไว้หรือยังครับพี่แวน"


"ยังเลยจ๊ะภูมิ นี่พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มัวแต่ตกใจเรื่องมีน้อง คิดแต่ว่าจะแต่งๆ แต่เรื่องอื่นยังไม่ได้คิดเลย ช่วยพี่หน่อยนะภูมิ"


แวนส่งสายตาวิงวอนออกมา


"ยินดีครับ ภูมิจะทำให้เต็มฝีมือเลยครับ"


"งั้นพี่ยกให้น้องภูมิเป็นคนจัดการเลยได้ไหมจ๊ะ พี่ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำยังไงดี"


"เอ่อ"


หันไปหาโตโต้ขอความคิดเห็นสมทบ โตโต้ก็พยักหน้า


"ถือเป็นงานแรกเลยนะครับ ที่ภูมิจะลงไปแบบเต็มตัว"


"พี่เชื่อใจเราจ๊ะ โทรหาพี่ได้ตลอดเวลานะจ๊ะ พอลด้วย"


รู้สึกยินดีที่แวนไว้วางใจ แต่ก็ยังลำบากใจที่งานนี้นับเป็นงานแรกที่จะทำแบบจริงๆจังๆ ทั้งสามคุยรายละเอียดกันอยู่สักพักก็พากันไปทานมื้อค่ำที่โรงแรมในย่านศรี นครินทร์


"ไม่น่าเชื่อนะภูมิ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอนเลยจริงๆ"


โตโต้พูดออกมาตอนขับรถกลับบ้าน


"อะไรที่ไม่น่าเชื่อล่ะครับ"


ภูมิบุญย้อนเพราะไม่เข้าใจประเด็นที่แท้จริง


"ก็แวนกับพอลไง แวนเคยเป็นคนรักเก่าพี่ ตอนนั้นก็คิดอยากจะแต่งงานกันเหมือนกันนะ แต่เห็นไหมมันก็ไม่แน่นอน"


"ก็เราหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความรู้สึกนี่ครับ คนเราเปลี่ยนได้ตลอดเวลา วันนี้คิดแบบนี้ พรุ่งนี้ก็คิดต่างออกไป"


"นั่นสินะ จากที่เคยเกลียด จนแปรเปลี่ยนเป็นรัก"


คำพูดที่ทำให้ภูมิบุญนิ่งอึ้งไป ทำผิดพลาดอีกแล้ว ผิดที่ต่อประเด็นกับเขา หน้าร้อนแดงขึ้นมาไม่รู้ทำไม โตโต้หันมามองหน้าของภูมิบุญส่งสายตาหวานฉ่ำ ภูมิบุญหลุบสายตาลงต่ำ


"จริงไหมครับ"


เขายังไม่ยอมเลิกยังไล่จี้อยู่


"มันก็ไม่เสมอไปหรอกครับคุณโตโต้ เขาบอกว่าไม่คิด ในใจอาจจะคิด เขาบอกไม่เกลียดในใจอาจจะเกลียด"


"บอกไม่รักแต่ในใจไปเกินครึ่งแล้วประมาณนั้นเหรอครับ"


ได้แต่เม้มปากหนัก ไม่เคยกำชัยชนะเลยสักครั้งถ้าหากว่าสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อนี้


"เขาไม่พูดใช่ว่าเขาไม่คิด เขาไม่พูดใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึก บางอย่างที่ทำไว้มันก็ยากนะครับที่จะลืม"


ปราดสายตาขึ้นมองรู้สึกรำคาญเต็มทน


"ทำไมล่ะภูมิ รักมันมากนักเหรอไอ้แทนน่ะ คิดถึงมันมากนักเหรอ ป่านนี้ไม่ใช่มันไปมีคนใหม่เรียบร้อยไปแล้วเหรอ ทำไมเราไม่มองคนที่อยู่ใกล้ๆตัว"


ในที่สุดก็โพล่งออกมา ภูมิบุญเม้มปากแน่นอีกครั้ง


"เขาจะมีใครหรือไม่มีมันไม่ใช่ประเด็นนี่ครับ เพราะผมยังยืนยันว่าผมรักเขา เขาคนเดียว ไม่ว่าจะยังไง"


โตโต้กัดฟันแน่นเช่นกัน สายตาที่มองมาทั้งสมเพชเวทนาคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ แววตาของเขาช่างมีทิฐิมานะสูงเหลือเกิน


"ทำใจไว้บ้างก็ดีนะภูมิ คนอยู่ไกลกันน่ะไว้ใจไม่ได้นักหรอก"


"อย่าไปเปรียบคนอื่นใส่ตัวเองสิครับคุณโตโต้ ผมรู้ว่าพี่แทนเป็นคนยังไง แล้วก็กรุณาเก็บความหวังดีของคุณไว้เถอะครับ ผมไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก"


"เอี๊ยดดด"


โตโต้เหยียบเบรคทันที เขาดูเกรี้ยวกราดขึ้นมา


"ทำไม มันมีดีอะไรเราถึงได้รักมันนักหนาหา รู้ไหมว่ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว มันมีคนอื่นแล้ว เราจะมามัวเทิดทูนบูชาอะไรมัน มันหลอกเรารู้ไหมภูมิ มันหลอกเรา"


เขาตะคอกออกมา ภูมิบุญหน้าชากระตุกในใจ เม้มปากแน่น


"คุณรู้ได้ยังไง คุณเอาอะไรมาพูด คุณรู้สักเขาดีแค่ไหนกัน"


ความคับแค้นใจมันปะทุออกมา น้ำเสียงที่เครือไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ คนที่เขาอยู่ห่างกัน ร้อยทั้งร้อยย่อมไม่อยากจะได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เรื่องที่เป็นหนามเสียดแทงใจ แม้จะมั่นใจเชื่อมั่นในตัวของคนที่อยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม ไม่อยากจะได้ยิน


"พี่รู้ก็แล้วกัน เลิกโง่เสียทีภูมิ เราจะทนรอมันทำไม ในเมื่อมันไม่ได้ทำตามที่มันพูดไว้"


"พอที ผมไม่อยากได้ยิน"


ร้องออกไปเหมือนน้ำตาจะปริ่มล้นออกมาจากหางตา ภูมิบุญเปิดประตูรถก้าวลงทันที ที่ตรงนั้นคือในซอยบ้านของคุณอภิสราเอง เดินอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงหน้าบ้าน


"ภูมิ ภูมิ จะไปไหน"


โตโต้เองก็เปิดประตูรถก้าวตามมา


"อย่ามายุ่งกับผม ปล่อยผมไปซะที"


"ภูมิ ขึ้นรถเดี๋ยวนี้อยากให้แม่รู้เหรอ"


"พอที ผมถามจริงๆ ผมมีอะไรดี ทำไมคุณถึงมาคอยวอแว เลิกยุ่งกับผมซะที"


ไม่หยุดเดินแต่วิ่งแทน โตโต้หมดปัญญาที่จะตาม ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนภูมิบุญพอวิ่งเข้าบ้านได้ก้เปลี่ยนเป็นเดิน เพราะเห็นคุณอภิสรานั่งอยู่หน้าบ้านเหมือนจะคอยอยู่แล้ว


"ทำไมเดินมาลูก มีอะไรกัน"


สมองยังไม่ทันได้คิดคำตอบแต่เปลี่ยนสีหน้ายิ้มตอบรับแทน


"คือ คุณโตโต้จอดดูรถน่ะครับ พอดีรถมีปัญหานิดหน่อย"


"หือ อะไรกันทำไมรถมีปัญหาได้ ลุงหมายไม่ได้เช็คให้หรอกเหรอ"


"เอ่อ คุณท่านครับ ภูมิขอตัวนะครับ วันนี้ภูมิรู้สึกปวดหัว"


"เป็นอะไรมากไหมลูก กินยาหรือยัง"


น้ำเสียงวิตกกังวลขึ้นมาทันที


"ยังครับ เดี๋ยวไปขอพี่อ้อยกิน"


"ไปเถอะลูก กินข้าวแล้วกินยารีบนอนซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย"


คุณอภิสรามาจับที่หน้าผากแตะอยู่สองสามทีก็ดันหลังให้ภูมิบุญเดินไปห้องพัก ของตัวเอง รู้สึกผิดที่โกหกผู้มีพระคุณอีกครั้งแต่เรื่องนี้จะบอกให้ใครรู้ได้ด้วยหรือ เรื่องหัวใจที่มันกำลังปั่นป่วน ถามว่าทำไม ได้แต่อ้าปากพูดไม่ออก ไม่มีคำใดจะอธิบายกริยาอาการความรู้สึกเหล่านี้ได้ ภูมิบุญรีบเข้าห้องของตัวเองแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ทันที ในใจร้อนรนเหมือนมีไฟลน


"พี่แทน"


พอเห็นแทนทวีออนไลน์ก็เข้าไปทักทันที


"พี่แทนครับ ยุ่งอยู่เหรอครับ"


"พี่แทน"


ไม่มีปฏิกริยาตอบรับจากหน้าจอของอีกฝ่าย ภูมิบุญส่งข้อความไปหลายอัน ทั้งเขย่าหน้าจอ ในใจก็ร้อนยิ่งขึ้นอยู่นิ่งไม่ได้


"อ้าวภูมิ มาตั้งแต่ตอนไหน โทษทีพี่ไปห้องน้ำมา"


สักพักแทนทวีก็ตอบกลับ


"อ้อ ครับคิดว่าพี่แทนไม่อยู่ซะอีก"


"โทษทีนะภูมิ เราไม่เคยออนเวลานี้นี่ พี่เลยออนทิ้งไว้แล้วทำนั่นทำนี่"


"ครับ พี่แทนว่างอยู่ไหมครับ"


"ครับ ว่างแล้ว เป็นไงเราวันนี้"


"ภูมิถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ"


"หือ ว่ามาครับอยากถามอะไรพี่"


"พี่แทนมีคนอื่นเหรอครับ"


การสนทนาที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้า ไม่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์มันดูง่ายเหลือเกินที่จะถามคำถามยากๆออกไป ทั้งที่ปกติเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะถามอะไรแบบนี้


"เฮ้ย ทำไมถามพี่แบบนี้ ภูมิมีอะไรครับ"


"มีหรือเปล่าครับ"


"ภูมิ ฟังพี่นะ พี่มีภูมิคนเดียว คนเดียวเท่านั้น ใครมันว่าอะไรพี่ บอกมานะภูมิ พี่อยู่ที่นี่คิดถึงภูมิจะตาย ไม่มีวันไหนที่พี่จะไม่คิดถึงภูมิ พี่เสียใจนะที่เราถามพี่แบบนี้ นี่ภูมิไม่ไว้ใจพี่แล้วเหรอ"


"ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับพี่แทน ภูมิขอโทษ ภูมิแค่ไม่สบายใจ ภูมิเชื่อใจพี่แทน แต่"


ไม่อยากปัดความผิดไปให้ใคร ผิดเองที่ไม่ชั่งใจให้ดี ผิดเองที่เอาแต่ความร้อนแห่งใจเป็นที่ตั้ง


"ภูมิขอโทษนะครับพี่แทน ภูมิแค่คิดถึงพี่แทนมากไปหน่อย"


"คิดถึงพี่ต้องหาว่าพี่มีคนใหม่เลยหรือภูมิ"


"พี่แทน ภูมิขอโทษ"


"เอาเถอะ พี่ไม่อยากหงุดหงิด พี่มีเราคนเดียวนะภูมิจำไว้ ไม่เคยคิดมีใจให้คนอื่น อย่าถามพี่ หรือสงสัยพี่แบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ"


แม้จะเป็นแค่เพียงตัวหนังสือที่ผ่านหน้าจอมาให้อ่าน แต่ก็รับรู้ได้ว่าข้อความเหล่านี้มันออกมาจากความคับแค้นใจ ไม่น่าเลย ไม่น่าถามออกไปเลย พอบทสนทนาออกมาในรูปแบบนี้ แทนทวีเองทั้งที่บอกว่าไม่คิดอะไรแล้ว แต่ก็เป็นคนขอตัวออกไปก่อน ภูมิบุญเองที่เป็นฝ่ายรับความทุกข์ตรมเข้ามาสุมในอก เฉกเช่นปาลูกบอลใส่กำแพง หมายจะให้กำแพงนั้นสะทกสะท้านแต่ท่านเอยลูกบอลมันจะไปไหนเสีย มันก็กระเด้งกลับมาหาตัวเรานั่นเอง แรงดันของลูกบอลยอกอกตำใจอยู่ ภูมิบุญพูดอะไรไม่ออก คิดอะไรไม่ได้ นอนแผ่ลงกับเตียงหมดซึ่งเรี่ยวแรง แค่ตัวหนังสือยังรู้สึกเจ็บปวดได้มากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นคำพูดล่ะมันจะเจ็บแปลบถึงเพียงใด เจ็บเหลือเกินแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ถ้าร้องไห้ออกมาได้คงไม่ตรมในใจเช่นนี้ ร้อนรนในใจเดินไม่สุข นั่งไม่สุข นอนไม่ได้ ใจเจ้าเอยมีอิทธิพลควบคุมสมอง ควบคุมร่างกายไม่ให้เป็นไปดังปกติ นี่น่ะหรือเขาบอกถ้าใจมันหมดกำลังแล้ว ร่างกายมันก็อ่อนยอมตามกันไป


"ภูมิๆ นอนหรือยัง"


พอสมองมันเหนื่อยใจมันจนหนทางไม่มีทางไปมันล้ามันเหนื่อยมันก็ยอมอ่อนลงพอให้ตาหลับลงไปได้ แต่เพียงไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


"อืม พลอยเหรอ มีอะไรหรือเเปล่า"


"ภูมิ ไอ้บาสมันเข้าโรงบาล ที่หอเขาโทรมาบอกเรา"


น้ำเสียงของพลอยตื่นกลัว เหมือนคนที่เพิ่งจะวิ่งร้อยเมตรมาแล้วให้พูดในทันที ตอนไปจ่ายค่าหอพลอยอาสาให้เบอร์กับทางหอไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ตามตัวได้ ในฐานะของผู้ปกครอง แต่ไม่คิดว่ามันจะฉุกเฉินขนาดนี้


"อะไรนะพลอย"


"เรารู้แค่ว่าไอ้บาสมันโดนทำร้าย ภูมิเราจะทำยังไงดี"


พลันความง่วงความเหนื่อยล้าที่ยังไม่ผ่านไปก็มลายหายไป นี่มันอะไรกัน จะเอาอะไรกันกับคนๆนี้ ทำไมมีเรื่งไม่จบไม่สิ้น ทำไม ในใจของภูมิบุญค้านออกมาแต่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้น


"บาสอยู่ที่ไหนพลอย"


"พระรามเก้า"


"เดี๋ยวเราไป"


"พี่กายจะมารับเราไป ภูมิรีบไปนะ เดี๋ยวเราตามไป"


พอวางสายจากพลอยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าถือกระเป๋าเงินวิ่งออกมาจากห้อง ทุกคนในบ้านหลับไหลกันหมดแล้ว แม้แต่โตโต้เพราะตอนนี้มันเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว ภูมิบุญวิ่งออกจากบ้านพยายามมองหารถแท็กซี่แต่ก็ไม่มีผ่านมาสักคัน วิ่งออกไปจนถึงถนนใหญ่พอเรียกรถได้ก็ก้าวขึ้นไปกระหืดกระหอบบอกจุดหมายปลายทาง


"บาส"


ใช้เวลานานกว่าที่คิด เพราะใจมันไปก่อนตัวแล้ว นั่งกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข ทั้งที่คนขับรถเองก็เร่งฝีเท้าให้เต็มที่


"เกิดอะไรขึ้น หมอครับ น้องผมเป็นอะไร"


พอสอบถามจากเคาท์เตอร์ก็รีบไปหน้าห้องฉุกเฉิน พอดีเห็นหมอเดินออกมาจากห้อง


"คุณเป็นญาติคนไข้ใช่ไหมครับ"


"ครับ เขาเป็นน้องผมเอง เกิดอะไรขึ้นครับคุณหมอ"


น้ำเสียงร้อนรนสายตาเบิกกว้าง


"น้องชายคุณโดนทำร้ายมานะครับ กระดูกชายโครงร้าว หมอต้องรอแสกนสมองพรุ่งนี้ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ"


ทรุดถอยหลังไปสองก้าว ใจหล่นร่วงหายไป หมอเดินไปแล้ว พอดีกับพยาบาลเข็นเตียงของบาสออกมา


"บาส"


สะอึกน้ำตาร่วงพรู สภาพตามตัวฟกช้ำดำเขียว หน้าตาปูดโปนออกมา คราบเลือดยังกรังตามใบหน้า เขานอนหมดสติอยู่บนเตียง


"ญาติคนไข้เหรอคะ น้องไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ พกช้ำนิดหน่อย"


นี่นิดหน่อยเหรอ เกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น


"บาส ตายแล้ว"


เสียงพลอยร้องออกมา มีกายเดินตามหลังมา


"บาส ใครกัน ใคร"


พลอยร้องไห้ออกมา ถลาเข้ามากอดภูมิบุญ ภูมิบุญเองก็ยืนสั่นอยู่ น้ำตาไหลออกมา เขาทำผิดอะไรทำไมถึงทำกันถึงขนาดนี้ ถึงแม้นหากว่าเขาทำผิดจริงมันควรจะเป็นแบบนี้หรือ


"น้องเขามีเรื่องกับคนข้างห้องนะภูมิ พี่โทรถามเจ้าของหอแล้ว เขาบอกเด็กคนนั้นคงแค้นใจที่เราไปทำร้ายเขาวันนั้น เลยมาลงที่น้องมัน แต่ตอนนี้สองคนนั้นหนีไปแล้ว"


ทรุดพยุงร่างไว้แทบไม่อยู่ อะไรกัน นี่เราทำอะไรลงไป ผลกรรมที่เราทำไว้ทำไมมันไปฟาดใส่คนอื่นแบบนี้ นี่อะไรกัน เพราะความใจร้อน เพราะความโมโหจนหน้ามืดตามัว ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้


"แจ้งความ หนูจะไปแจ้งความ หนูจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด"


"งั้นพี่ไปจัดการเรื่องโรงบาลก่อน เดี๋ยวพี่โทรบอกเพื่อนพี่ก่อน มันเป็นผู้กำกับอยู่ สน พระโขนง มันน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง"


กายพูดออกมาแล้วเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์จัดการเรื่องห้องพักผู้ป่วยค่ารักษาพยาบาล


"เพราะเราคนเดียว เพราะเรา"


ภูมิบุญร้องออกมาน้ำตาไหลอาบสองแก้ม


"ภูมิ"


"เพราะเราเอาแต่ความหุนหันของตัวเอง เพราะเราเอง เราจะทำยังไงดีพลอย เราจะทำยังไงดี"


ปัญหาที่รุมเร้าตั้งแต่เกิดมามีแต่เรื่องมาบั่นทอนจิตใจ ไม่อยากจะเผชิญกับเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว จะเอาอะไรกันหนักหนากับชีวิตของคนเพียงคนเดียว ถ้าเรื่องเกิดกับตัวเองจะไม่เอ่ยปากบ่นสักคำ กี่ครั้งกี่คราที่ลากเอาผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง มาเจ็บปวดทรมานด้วย พวกเขาผิดอะไร ภูมิบุญร้องต่อว่าตัวเองอยู่ในใจ วิบากรรมไม่มีทางหลบหนีหลีกพ้น แต่อย่าได้ท้ออย่าได้ยอมแพ้ ถ้าเราผ่านมันไปได้ แล้วเราลองมองย้อนกลับไป สิ่งหนักๆเหล่านั้นเราก็ผ่านมันมาได้แล้ว เพราะตราบใดที่มีชีวิต ความเจ็บปวดมันก็คุกคามเราอยู่ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ อันรักเขามากก็เจ็บปวด อันเสียเขาไปก็เจ็บปวด อันกินอิ่มเกินไปก็เจ็บปวด อันหิวเกินไปก็เจ็บปวด ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ในโลกนี้ อย่างน้อยความเจ็บปวดนี้มันก็เตือนให้เรารู้ว่าเรายังคงมีลมหายใจอยู่ไม่ใช่หรือ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น