วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

(Heroine) ที่นี่ไม่มีนายเอก ฉากแปดสิบเอ็ด

"พี่โต้ครับ เมื่อกี๊ที่พูดออกไป ภูมิขอโทษนะครับ"

พอเดินเข้ามาในบ้านมีเวลาที่ได้อยู่กันเพียงลำพัง ภูมิบุญนั่งลงบนเตียงของตัวเองถอนหายใจออกมา ส่วนโตโต้เดินตามเข้ามายิ้มกริ่มอยู่

"เรื่องอะไรครับ"

"เอ่อ เรื่องที่ภูมิหลอกพี่แทนไปน่ะครับ"

"อ้าว ภูมิไม่ได้พูดจริงหรอกเหรอ พี่อุตส่าห์ดีใจ ว้า"

เดินเข้าไปถึงตัวแล้ว โตโต้กอดเข้าที่เอวของภูมิบุญทันที

"จะทำอะไรครับพี่"

"ภูมิไม่คิดพี่ไม่สนใจหรอก เพราะพี่คิดไปแล้ว"

"พี่โต้"

"พี่รักภูมิมานานแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน ที่ทำร้ายภูมิไปเพราะพี่เรียกร้องความสนใจ ยิ่งอยู่ใกล้เราพี่ยิ่งรัก พี่เพิ่งรู้ตัวว่าพี่ขาดเราไม่ได้"

โตโต้เอาคางเกยที่บ่าของภูมิบุญสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ทำเอาคนที่พยายามจะดิ้นหนีออกหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา

"อย่าทำแบบนี้เลยครับ"

ยังขัดขืนอยู่แต่โตโต้ก็รุกหนักจากแค่สูดลมหายใจก็เป็นปักจมูกลงไปบนคอภูมิบุญอ่อนระทวยไป

"ภูมิเองก็คิดเหมือนพี่ไม่ใช่เหรอครับ พี่อยากกอดภูมิแบบนี้มานานแล้ว"

พูดไม่ออกพยายามจะดึงตัวออกจากการเกาะกุม แต่ยิ่งพยายามเขายิ่งกอดรัดแน่นขึ้น

"ภูมิยังไม่พร้อม"

ยอมพูดออกมา เสียงเหมือนกระซิบแผ่วเบาอยู่ในลำคอ

"พี่รอได้ครับภูมิ พี่รอได้"

"รอได้ก็ปล่อยภูมิเสียทีสิครับ"

"ก็มัดจำไงภูมิ"

โตโต้เอามือจับหน้าของภูมิบุญหันมา จ้องตาที่หลุบลงต่ำ วาบหวามเข้าไปในใจ ละลายไปแล้วทั้งใจ ริมฝีปากหนาอุ่นทาบลงทันที ภูมิบุญสะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ถอยหนี เป็นครั้งแรกที่ได้ทำมันออกมาจากใจ รอยจุมพิศที่เป็นความพึงใจของคนทั้งสองฝ่าย หลับตาพริ้มหวานละมุน นี่มันคงไม่ใช่ฝัน คนที่สัมผัสโอบกอดอยู่ต่อหน้าเขาคงไม่ใช่ฝัน รอยจุมพิศนี้มันคงไม่ใช่แค่มายาหลอกหลอน รับรู้ได้ถึงความนุ่มนวล มันแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย ชื่นใจ พึงใจ นี่หรือที่เขาเรียกว่าความสุข ไม่ขอมีอะไรอีกแล้วในโลกนี้ ขอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

"เป็นยังไง ห๊า จนต่อหลักฐานทุกอย่าง ทำไมไปขโมยงานเขามา ชั้นอุตส่าห์ส่งไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา มีปัญญาทำแค่ขโมยเขาเนี่ยเหรอ ห๊า"

เสียงคุณอรอุมาด่ากราดหลังจากออก มาจากศาล ผู้เป็นแม่หน้าซีดร่ำไห้อยู่ ส่วนพีทเองหน้าซีดดูเลื่อนลอยไม่มีสติอยู่กับตัว "สิบล้าน" เงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ เงินที่ได้จากงานแต่งของเพื่อนไม่ถึงแสน เพราะได้ควักเนื้อออกให้เพื่อนไปเสียส่วนใหญ่ ได้ไม่คุ้มเสีย เสียมากด้วย ร่างทรุดลงร้องไห้ ตอนนั้นคิดแค่อยากให้ภูมิบุญเสียหน้า ไม่คิดเลยอยากให้เขาเจ็บ แต่มันกลับทำให้เราเจ็บยอกกลับมาไม่รู้กี่เท่า

"ทำอะไรไม่รู้จักคิด เป็นยังไง เจ๊ง เจ๊ง โอ๊ย บริษัทชั้น"

ทั้งตบทั้งตีบุตรชายที่นั่งร้องไห้อยู่ เป็นภาพที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก ภูมิบุญเดินออกมาจากศาลพร้อมกับโตโต้และคุณอนิรุธ

"แก เพราะแกคนเดียว ไอ้ภูมิ"

พอเห็นหน้าก็ปรี่ลุกขึ้นจะเข้าไปทำร้าย

"หยุดนะ นี่ยังไม่พออีกเหรอ"

โตโต้ตวาดลั่นเสียงกึกก้อง

"หยุดนะพีท ทำไมทำตัวแบบนี้ ไป๊ ไปให้พ้นหน้าชั้น ลูกเลว"

มารดาก็กระชากแขนไว้ พีทเองก็ร่างไหวด้วยแรงกระตุก ไม่มีสติ ในใจมีแต่ความแค้นผสมอยู่กับความอับอาย เม้มปากแน่นสายตามองด้วยความเคียดแค้น

"แกจำไว้ จำไว้ให้ดี มันจะไม่จบแค่นี้"

ตะโกนออกมา

"ขอสัมภาษณ์หน่อยนะคะ ไม่ทราบว่าเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกันกับคลิปวีดีโอที่"

"แล้วบริษัทเอ็นออร์กาไนเซอร์จะยังคงอยู่ได้ไหมครับ"

นักข่าวของแวดวงสังคมไฮโซกรูกันเข้ามา โตโต้พาภูมิบุญเดินอ้อมไปด้านหลัง ส่วนพีทกับมารดาถูกล้อมไว้แล้วซึ่งนักข่าว

"กรี๊ดด อย่ามาถามอย่ามาถาม ออกไป๊"

พีทกรีดร้องขึ้น มารดาเองก็ทำเหมือนกัน ขาดสติทั้งแม่ลูก

"มันคงไม่เกินไปหรอกใช่ไหมครับ พี่โต้"

ภูมิบุญเอ่ยขึ้นเมื่อขึ้นนั่งบนรถ

"ไม่หรอกภูมิ มันคือธุรกิจ ไม่ซื่อสัตย์ก็ต้องเจอแบบนี้ มันเป็นกลไกของสังคม"

ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ไม่ได้อยากให้มันรุนแรงขนาดนี้ คิดย้อนดูแล้วการที่จะทำให้ใครบางคนจนหนทางไป มันไม่ใช่เรื่องสนุก พื้นฐานของใจไม่ใช่เป็นคนแบบนั้น อย่างน้อยก็ยังเป็นคนอยู่ แต่พอทำไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ ถ้าเรานิ่งเราไม่โต้ตอบ เราเองสินะที่คงกำลังคร่ำครวญเสียใจอยู่ ไม่น่าจะเป็นเขา อโหสิกรรมให้ด้วยนะ พีท

"นังป๊อด แกมีของไหม"

พอร้องไห้คร่ำครวญอยู่สักพักก็หาทางระบายออก ไม่รู้จะทำยังไงไม่รู้จะไปไหนดี พีทจึงกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิท

"ของไรยะ"

"แกตี้ป่ะวันนี้"

"ว้าย มีเงินเหรอยะแก ได้ข่าวว่าสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วนี่ ยังมีหน้าจะมาตี้อีกเหรอ เก็บเงินไว้กินข้าวแกงไม่ดีกว่าเหรอ นังพีท"

เพื่อนสนิท? นี่น่ะหรือเพื่อนกัน

"อีป๊อดทำไมแกพูดแบบนี้"

"ทำไม ก็พูดเรื่องจริง ไม่มีเงินชั้นไม่คบหรอกนะแก ไม่อยากทำการกุศล"

"อีป๊อด แต่ก่อนชั้นช่วยแกตลอด มีอะไรชั้นก็จ่าย แล้วทำไมแกพูดแบบนี้ เลี้ยงไม่เชื่อง อีงูพิษ"

ไม่ยอมเช่นกันด่ากราดออกไป

"นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างอีพีท ใครเขาจะคบแก แค่นี้นะไม่อยากคุยกะคนจน"

"กรี๊ดดด"

เป็นอีกครั้งที่ปาโทรศัพทืเข้าผนังห้อง ดึงทึ้งผ้าห่มบนเตียง เอาหมอนมาบีบต่อยอยู่อย่างนั้น

"เลว ไม่มีใครจริงใจ เลวที่สุด"

ใครบอกเงินซื้อได้ทุกอย่าง วันนี้คงเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เพื่อน ผู้ชาย ใช่นั่นมันแต่ก่อนอย่างที่เพื่อนของพีทพูด แต่ก่อนไม่กี่วันก่อนหน้านี้ อยากได้อะไร อยากไปไหน ชี้นิ้วสั่งเอาได้สมใจทุกอย่าง ไม่เคยอยู่อย่างนี้ ไม่เคยอยู่แบบอับอายผู้คนแบบนี้มาก่อนตั้งแต่เกิดมา พีทกรีดร้อง ยิ่งคิดยิ่งกรีดร้องออกมา

"ชั้นไม่แคร์ ชั้นไปเองก็ได้ จำไว้นะอีป๊อด แม่จะเล่นให้เจ็บ"

พีทคาดโทษเอาไว้ก่อนจะแต่งตัวออกจากบ้านไป ที่จริงเงินสิบล้านมันก็มากพอสมควร แต่ทรัพย์สินที่มารดาสะสมมามันก้ไม่ได้ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัวไปเสียทีเดียว เพียงแต่มันไม่เหมือนเดิม พีทบึ่งรถออกจากบ้าน ไม่ฟังเสียงทัดทานจากใคร

ยามวิกาลย่านวังสราญรมย์มันช่างดูวังเวงนัก มีไฟที่ส่องสว่างอยู่ตามเสาหรือจุดต่างๆอยู่วิบวับพอให้เห็นเงาสลัวๆของใครหลายคนที่สัญจรไปมาตามท้องถนน ไฟจากรถยนต์สาดส่องไปทำให้เห็นเงาของใครบางคนที่กำลังยืนรอ รอลูกค้า ได้ยินมาจากเพื่อน เพื่อนที่สนิทที่สุดที่เพิ่งตัดความสัมพัธ์กันไป พอจวนตัวหาทางไปไม่เจอก็คิดขึ้นมาได้ พีทขับรถวนตามถนนเลียบคลองหลอดช้าๆ เงามืดของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่เป็นจุดๆมันช่างดูไม่น่าไว้วางใจ ขับวนผ่านหน้ากระทรวงเลี้ยวขวาผ่านหน้าวัดโพธิ์ ตรงเข้าไปเส้นผ่านท่าเตียน ทำไมใจมันเต้นแรงได้ขนาดนี้ กลัวหรือ ไม่ใช่ มันคือความท้าทาย ขับวนอยู่อย่างนั้นช้าๆ สายตาก็สอดส่ายมองหาคนที่ต้องการ และแล้วก็ไปสะดุดตากับชายรูปร่างกำยำยืนอยู่ทางไปศิลปากร พีทชะลอรถใจเต้นโครมคราม นี่เขาทำกันยังไงนะ เขาเดินเข้ามาหาที่รถทันที พีทสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึก ลดกระจกรถลง

"เที่ยวไหมพี่"

เขายิงเข้าประเด็นทันที สายตามองสำรวจภายในรถอย่างรวดเร็ว

"เอ่อ ไปที่ไหนล่ะครับ"

"ผมรู้จักที่พี่"

นิ่งคิดอยู่ ใจมันก็เต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาจากอก เลือดในกายมันสูบฉีดได้เต็มที่ร้อนไปทั้งตัว

"เท่าไหร่"

ถามออกไป เพราะรู้ดีว่าเขาคงไม่ชวนไปฟรีๆ

"๕๐๐ พี่"

"ห๊า ๕๐๐"

ร้องออกมามองหน้าเขาอย่างไม่น่าเชื่อ อะไรกันแค่นี้เนี่ยนะแล้วเขาจะทำอะไรให้เรา พีทตั้งคำถามขึ้นในใจ

"แพงไปเหรอพี่ ถูกแล้วนะครับ"

"ขึ้นมาก่อน"

พีทเองอึกอักก่อนจะพูดออกไป ไม่มั่นใจ กลัวเหมือนกัน แต่แรงเรียกร้องของบางอย่างภายใต้ร่างอันนี้มันรุนแรงมากเกินกว่าที่จะขับรถหนีไปได้

"แล้วทำอะไรบ้าง"

พอเขาขึ้นมาบนรถก็ถามเสียงสั่น มองดูเรือนร่างภายใต้เสื้อยืดคอกลมสีตุ่นๆของเขา

"ทุกอย่างพี่ แต่ผมไม่รับ"

พอใจเป็นที่สุด ฉายรอยยิ้มออกมา

"ดี ใหญ่ไหม"

"เจ็ดพี่"

"หือ จริงเหรอ ไปที่ไหนนะ"

ใจสั่นอยากเห็นของจริงขึ้นมา ใจเต้นโครมคราม เขาบอกทางให้พีทขับรถเข้าไปในซอยคอกวัว หาที่จอดแล้วเดินเข้าไปในหลืบในซอก มาหยุดอยู่ต่อหน้าห้องแถวเก่าๆโทรมๆแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะทำเป็นโรงแรมชั่วคราว นี่น่ะหรือโรงแรมจิ้งหรีดอย่างที่เขาว่ากัน พีทเดินตามเขาเข้าไปในใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆหวาดหวั่นไม่น้อย แต่ก็ไม่ยอมถอยมันคือความแปลกใหม่สำหรับตัวเขา อยากลอง ไม่แพง พอจ่ายค่าห้องก็ถึงกับพูดไม่ออก ค่าห้อง๓๐๐บาท ไม่เคยนอนที่ไหนถูกแบบนี้มาก่อน พีทยิ่งแปลกประหลาดในใจมากเข้าไปอีก

"เอาเลยไหมพี่ ของขึ้นแล้ว"

เขาไม่รีรอเพราะทุกนาทีคือเวลาทำมาหากิน ส่วนพีทเองก็ไม่อิดออดเช่นกัน กระโจนเข้าหาอย่างกระหายอยาก ลีลารักที่เขามอบให้แม้จะไม่ถึงใจเหมือนใครหลายคนที่ผ่านมา แต่ขนาดของเขาก็สร้างความพึงใจให้เขาได้ไม่น้อย

"ไม่ใส่ถุงได้ไหม"

พีทร้องออกมา เขาชะงัก

"ไม่ได้หรอกพี่"

"พี่ให้พันนึง เอาไหม"

ยื่นข้อเสนอ ทำให้เขานิ่งคิดอยู่ก่อนจะทำตามความประสงค์ของลูกค้า พีทเป็นคนสะอาด ร่างกายผุดผ่องหน้าตาก็ดีเทียบชั้นดารา เขาเองจึงไม่ลังเลนานนัก เสียงครวญครางที่ออกมาจากปากของพีทมันแสดงให้เห็นถึงความพึงใจที่เขาได้รับ ไม่เคยจ่ายให้ผู้ชายน้อยอย่างนี้มาก่อน ชอบใจถูกใจยิ่งนัก จ่ายไม่ถึงพันห้าก็ได้เสพสมอารมณ์หมาย นี่คือแหล่งแห่งความสำราญใจแห่งใหม่ของพีท

"คิดอะไรอยู่ครับภูมิ พี่เห็นนั่งเหม่อมานานแล้วนะ"

โตโต้เดินเข้ามาทักเพราะเห็นว่าภูมิบุญนั่งเหม่อออกไปหน้าบ้านนานแล้ว เฝ้ามองดูอยู่ทุกฝีก้าว

"มะ ไม่มีอะไรครับพี่โต้ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย"

"มีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังไหม คนดี"

หันมามองทันที สายตาของเขามันบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน ภูมิบุญเม้มปากแน่น "คนดี" เคยได้ยินจากปากใครกันนะ ทำไมมันคุ้นเสียเหลือเกิน มันเหมือนยังก้องดังอยู่ในหู

"ภูมิเหนื่อย"

เสียงที่ลอดริมฝีปากออกมา มันทำให้คนตัวใหญ่ปรี่เข้าไปกุมมือเอาไว้ บีบคลึงอยู่เบาๆ แค่คำๆเดียวมันสื่อทุกอย่าง มันเหมือนบอกความในใจใต้แววตาคู้นี้ออกมาจดหมดเปลือก

"ไปพักไหม ไปกับพี่ ไปกันสองคน"

เสียงทุ้มนุ่มยังสร้างความวาบหวามให้ใจ โตโต้เองมองตาภูมิบุญไม่วางตา

"ไปไหนครับ เราต้อง"

นิ้วชี้แข็งๆมาปิดไว้ที่ปากแล้ว เขาส่ายหน้าเบาๆปรามไม่ให้พูด

"พี่ไม่สนใจอะไรแล้ว ภูมิรู้ไหมสิ่งเดียวที่พี่ห่วงคือภูมิ"

"พี่โต้"

ร้องออกมา น้ำตาไหลออกมาคลอสองตา ปลื้มใจกระตุกหัวใจเหลือเกิน คนตัวใหญ่เองก็มองจ้องอยู่กุมมือไว้แน่น รักภูมิบุญตั้งแต่ตอนไหนนะ ความรู้สึกรักมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน

ยังจำวันนั้นได้ดี วันที่ลากตัวภูมิบุญขึ้นไปบนรถ ปากบอกกับมารดาว่าจะไปส่งภูมิบุญให้ที่มหาวิทยาลัย แต่ขับตรงไปบนถนนวงแหวนเฉลิมพระเกียรติ ทะเลาะกันรุนแรง ภูมิบุญบอกให้จอดรถก็จอด วินาทีที่ถีบภูมิบุญลงจากรถ จิตใจมันสะท้อนไหวหวั่นไป ร่างเล็กๆเกลือกลิ้งอยู่กับพื้นซีเมนต์ร้อนระอุ เจ็บยอกเข้าไปในใจยิ่งเห็นคนร่างเล็กเดินร้องไห้สะอื้นอยู่บนถนนเส้นนั้นเพียงลำพัง ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากใคร แม้จะเจ็บร้องไห้อยู่ ก็มีฐิธิมานะพอ ใจมันไหวไป นี่เราทำอะไรลงไป เกินไปไหม เขาทำผิดอะไร เราถึงทำกับเขาได้มากขนาดนั้น ภาพของภูมิบุญที่เดินลากร่างตัวเองไปตามถนนที่แดดร้อนเปรี้ยงยังตรึงอยู่ในใจอยู่ในตาไม่เคยลบเลือน

"พ่อผมขอโทษ ผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว ใจผมมันแตกไปแล้ว ผมมันโง่ มีเพชรอยู่ในมือแท้ๆแต่กลับปาทิ้ง ไปคว้าเอาก้อนกรวดมา"

แทนทวีเองก็ร้องไห้คร่ำครวญก้มลงกราบแทบเท้าบิดา แพทย์หญิงศิริกานต์เม้มปากแน่นน้ำตาไหล แวนเองก็อุ้มลูกเดินหนีไปทนเห็นสภาพไม่ได้

"เอาเถอะ ตาแทน ตอนนี้ก็รู้แล้ว เวรกรรมแท้ๆ ถือว่าหมดเวรหมดกรรมกันซะ"

นายแพทย์แทนชัยเอ่ยออกมา

"ผมเสียดายน้องภูมิ ผมไม่น่าเลยพ่อ"

ครวญครางออกมา ยิ่งร้องมากเท่าไหร่แพทย์หญิงศิริกานต์ก็เม้มปากแน่นมากเท่านั้น

"แม่ผิดเองแทน แม่ผิดเอง แม่เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการให้เราไปเรียนที่โน่นเอง แม่เสียใจ"

ร้องไห้ออกมาก้มลงกอดตัวลูกชายไว้

"แม่อยากจะกันเราออกจากภูมิ แต่ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ แม่เสียใจ"

ใครก็สามารถคิดผิดได้ มองผิดได้ไม่ใช่เรื่องแปลก ของบางอย่างเรามองผิดไป แต่เราก็สามารถแก้ตัวทำให้มันกลับคืนมาได้เหมือนเดิมไม่ยากเย็นนัก แต่เรื่องหัวใจ เรื่องความรัก ตอนมีรักเห็นรักเป็นของเล่น เห็นหัวใจเขาเป็นแค่สิ่งของแค่ก้อนเนื้อ เป็นของตายจะทำอะไรก็ทำตามใจไม่คิดเห็นน้ำใจกัน ไม่มองเห็นค่าของก้อนเนื้อนั้น แต่รู้อะไรไหมหัวใจที่ร้าวแตกไปมันยิ่งกว่าแก้ว ที่พอร้าวแล้วจะประสานยังไงให้มันคืนดังเดิม แก้วร้าวทุบใหม่ยังพอมีหวังหลอมให้มันเป็นรูปเดิร่างเดิมได้ไม่ยาก แต่ใจล่ะทำให้มันมีตำหนิแล้ว จะเอายาที่ไหนมาทา เอาอะไรที่ไหนมาลบ เสียใจด้วยแทนทวี

ผ่านวันคืนที่โหดร้ายอันยาวนาน ทุกอย่างในชีวิตดูจะกลับคืนสู่สภาพปกติ หัวใจที่แห้งเหี่ยวโรยราเหมือนได้น้ำทิพย์ปลอบประโลมชะโลมใจให้ชุ่มฉ่ำมี ชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง โตโต้วางแผนจะพาภูมิบุญไปเที่ยวยุโรปเพื่อพักผ่อน แต่ภูมิบุญเองค้านไม่อยากไปต่างประเทศบอกว่าอยากเที่ยวอยู่ในเมืองไทย โตโต้เองจึงเปลี่ยนแผนจะพาไปเที่ยวทางเหนือ เริ่มจากลำปาง ลำพูนแล้วก็เชียงใหม่ ภูมิบุญเองก็เห็นดีด้วยชีวิตมีความสุขมากขึ้น ตอนนี้โตโต้เองเปิดตัวอย่างไม่อายใครว่าภูมิบุญคือดวงใจของเขา คุณอภิสราเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรายนั้นหันหน้าเข้าหาวัดไปแล้ว จันทร์เองก็เช่นกัน แทนทวีพอหายจากเศร้าใจก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งานไม่สนใจใคร ส่วนพีทก็ทำงานบ้างเพราะหลังจากที่เจอพายุร้ายบริษัทก็เสื่อมสถานะทางการเงิน พนักงานลาออกเป็นจำนวนมาก คุณอรอุมาเองต้องลงมาบริหารจัดการเกือบทุกอย่าง พีทเองก็ทำแต่ไม่มาก ไม่สนใจเพราะสิ่งใหม่ที่เขาค้นพบมันน่าค้นหาน่าดึงดูดมากกว่า

"ไปหาหมอสิพีท จะมานอนซมอยู่แบบนี้ได้ยังไง"

พอไม่สบายก็นอนซมอยู่แต่ในบ้าน ส่วนมารดาก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลเพราะทำงานหนัก

"เดี๋ยวก็หายน่ะแม่ วันนี้พีทไม่ไปทำงานนะ"

"แหม ถึงแกหายดีแกก็ไม่ไปไม่ใช่เหรอ"

"หึ แม่ออกไปเถอะ พีทจะนอน"

หันหลังให้มารดาทันที หน้าตาที่ซูบผอมลงตอบลงเยอะทำให้พีทดูไม่ดีเท่าเดิม แต่ทั้งที่คิดว่าไม่เป็นไรมาก เดี๋ยวก็หาย แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น ร่างกายที่อ่อนแอเหมือนมันจะพร้อมยอมให้เชื้อโรคในร่างมันทำงานได้เร็วขึ้น พีทตัดสินใจไปหาหมอเพราะทนกับสภาพของตัวเองไม่ไหว

"เอ่อ ทำใจดีๆไว้นะครับ"

พอตรวจเสร็จหมอก็ทำสีหน้าเครียด ส่วนพีทยังตีสีหน้าปกติอยู่

"ผมเป็นอะไรครับหมอ ทำไมพักนี้ปวดหัวบ่อย ท้องเสียด้วย นอนก็ลำบาก"

พีทบอกอาการเพิ่มเติมไป หมอถอนหายใจออกมาก่อนจะจ้องตาของพีท

"ผมเสียใจด้วยนะครับ คุณมีเลือดบวก"

"เลือดบวก นี่หมอหมายถึงผมเป็นเอดส์เหรอ ไม่จริง หมอเอาอะไรมาพูด"

โวยวายขึ้นทันที สีหน้าซีดเผือดลง ร่างสั่นไหวหัวใจร้าวราน

"ไม่ใช่จะไม่มีทางรักษานะครับ อย่าเพิ่งตกใจไป คนที่เป็นโรคนี้ถ้าดูแลตัวเองดีๆก็อยู่ได้หลายสิบปีนะครับ"

"ยังไง ไม่จริงหมอ หมอตรวจผิด ผมไม่มีทาง ไม่จริง"

เอามือกุมหน้าตัวเองไม่ยอมรับกับสิ่งที่ได้ยิน พีทวิ่งออกจากห้องทันที

"ชั้นเป็นเอดส์ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง"


ลนลานเหมือนคนบ้าขาดสติ ทั้งหัวเราะและร้องไห้ พีทเหมือนคนจนหนทางไป นั่งอยู่ในรถร้องไห้อยู่

"ถ้าชั้นเป็น คนอื่นก็ต้องเป็น ชั้นไม่ยอมหรอก"

พีทร้องขึ้นสายตาฉายความโกรธแค้นออกมา พลันก็กดโทรศัพท์ไปหาแทนทวีทันที

"แทน อย่าเพิ่งวางสาย"

ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย พีทก็ขู่ไม่ให้วางสาย

"มีอะไร"

"หึหึ ฮ่าๆๆๆ แกซวยแล้วไอ้แทน แกซวยแล้ว"

หัวเราะออกไป แทนทวีเอาโทรศัพท์ออกให้ไกลหูเพราะเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเหมือนคนบ้ามันแสบแก้วหู

"เป็นบ้าเหรอ มึงมีอะไรถ้าไม่พูดกูวางนะ"

แทนทวีทำเป็นไม่สนใจ

"กูเป็นเอดส์ ฮ่าๆๆๆ กูเป็นเอดส์ไอ้แทน มึงอย่าคิดว่ามึงจะรอดไปได้"

หูตึงประสาทตาดับ มองไม่เห็นสิ่งใด ไม่ได้ยินเสียงใด แทนทวีปล่อยให้โทรศัพท์ร่วงลงจากมือหล่นลงพื้นทันที ร่างทรุดลงไม่มีที่เกาะกุม

"ไม่จริง"

แทนทวีค้าน ร่างสั่นไหวไป

"ว้าย อะไรกันแทน มีอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น"

แพทย์หญิงศิริกานต์ร้องออกมา เข้ามาประคองร่างของบุตรชายไว้ น้ำตาไหลออกมานองหน้าของเขาแล้ว นี่เกิดอะไรขึ้น นี่มันไม่จริงใช่ไหม

อนิจจา ไฟใดไหนจะร้อนรนเผาไหม้ได้ร้อนยิ่งกว่าไฟในใจ ยิ่งสุมยิ่งคุกรุ่นอยู่ คนที่เจ็บช้ำจะเป็นใครไหนเลยนอกจากเรา ไฟในทรวงยิ่งพัดกระพือโหมลุกโชน ดวงใจของเจ้าของร่างนั้นก็มอดไหม้แหลกลาญไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น